วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เพลงขอใจเธอแลกเบอร์โทรดังไกลไปเมืองจีน

ฮอตไม่ตก ดังไกลถึงต่างประเทศ สาวจีน ร้อง "ขอใจเธอเเลกเบอร์โทร" (ชมคลิป)
(วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 14:40 น.  ข่าวสดออนไลน์ )


วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วง THE PARADISE BANGKOK MOLAM INTERNATIONAL BAND

(Paradise Bangkok, Bangkok / London)
(เดอะ-พาราไดซ์บางกอกคอก-หมอลำ-อินเตอร์แนชั่นเนิล-แบนด์) 

วงสุดฮอต (และชื่อสุดยาว) แห่งปี 2013 ที่ได้สร้างชื่อเสียงและเผยแพร่ความเป็นชาติไทยให้ชาวโลกได้รู้จักกับดนตรีสาย หมอลำ!! ซึ่ง The Paradise Bangkok Molam International Band ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นวงที่ไม่เหมือนใครที่สุดในการทัวร์ยุโรปและสามารถทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่โดดโลดเต้นด้วยความมันส์ของดนตรีหมอลำ…ไม่เชื่อต้องลองไปดูกันเอง!! -

The Paradise Bangkok Molam International Band วงดนตรีจากค่าย ZudRangMa (สุดแรงม้า)ที่เกิดมาจากความรักในเสียงเพลงของดีเจมัพไซ ดีเจผู้ครำ่หวอดอยู่ในวงการดนตรีมานานถึง 15 ปีเต็ม ดีเจมัพไซเป็นคนก่อตั้งค่ายเพลง ZudRangMa และ คลื่นวิทยุออนไลด์ ZudRangMa Radio ด้วยความหวังที่อยากจะเผยแพร่ดนตรีลูกทุ่งและหมอลำย้อนยุคที่ผสมผสานกับแนวดนตรี จาไมก้า แอฟริกา ตะวันออกกลาง จวบจน เอเซียอาคเนย์ ให้คนทั่วโลกได้รู้จัก
ด้วยโซโลสุดเจ๋งของ "พิณ" และ "แคน" ที่ผสมผสานกับเครื่องดนตรียุคใหม่อย่าง กลอง เพอคัสชั่น และ เบส ที่ลงตัว ทำให้วง The Paradise Bangkok Molam International Band ได้เป็นวงแรกในประวัติศาตร์ของไทยที่ได้รับเชิญไปในงานใหญ่ๆของยุโรปอาทิ Sfinks Festival 2013 -เทศกาลดนตรีของเบลเยียมที่มีมาตั้งแต่ปี 1975 และ มีผู้เข้าร่วมมากว่า 40,000 คนต่อปี- หรือจะเป็น เทศกาลดนตรี Off Festival 2013 ของโปแลนด์ -เทศกาลดนตรีที่ได้รับรางวัล Best Medium-Size Festival 2012 และมีผู้เข้าร่วมมากถึง 200,000 คน- เป็นต้น
สำหรับสมาชิกของวงก็ขาดไม่ได้กับ คำเม่า เปิดถนน สุดยอดหมอพิณของอีสานที่ได้รับฉายา "JIMI HENDRIX of the PHIN" (จิมมี่ เฮนดริกซ์ ของ พิณ) มาคู่กับ ไสว แก้วสมบัติ หมอแคนสุดเก๋าเจนเวทีมากกว่า 40 ปีด้วยวัย 72!! ต่อด้วยอีกสามนักดนตรี ปั๊ม “มือเบส” ที่ใครๆอาจจะคุ้นหน้าจากวงอินดี้สุดดัง อพาร์ตเมนต์คุณป้า ต่อมากับ อาร์ม “มือกลอง” นักดนตรียุคใหม่ที่เคยอยู่ในวงดุริยางค์เยาวชนมานานกว่า 5 ปี และ สุดท้ายกับ Chris Menis “มือเพอคัสชั่น” (และดีเจ) ชื่อดังจากเกาะอังกฤษ

With their popular party series Paradise Bangkok and hand-picked compilations for the fine labels Finders Keepers and Soundway, record collectors and DJs Maft Sai & Chris Menist singlehandedly brought back the rich culture of Thai pop music of the 1960es and 70es to the public's attention. The Paradise Bangkok Molam International Band is their attempt to stage this extravagant music again: Vintage Molam music played with a 21st century vibe, an infectious and highly danceable mixture.

With Kammao Perdtanon who has been dubbed as the "Jimi Hendrix of the Phin" (that's a Thai lute) and the 72-year old Sawai Kaewsombat on Khaen (a sort of an East Asian harmonica) the group features two absolute wizards of Molam, a style originally hailing from the country's poor Isan region. These legendary characters are being backed by a young red-hot rhythm section formed by some of the most up and coming young musicians in Thailand's capital.

The Paradise Bangkok Molam International Band's European debut tour last summer blew everyone away and proved why insiders are considering them a future world music sensation: The combo performed at high-profile events such as Wassermusik Festival in Berlin, Belgium's Sfinks and Poland's leading open air Off and took the audiences by storm. In Katowice they played the main stage at prime time, causing a few hundred Polish kids to go ballistic and jump up and down to an exotic music they had never heardbefore.

While currently working on their debut album, we expect The Paradise Bangkok Molam International Band to be back for good in summer 2014. This amazing group guarantees a night to remember, especially if booked together with an additional DJ-set by Maft Sai & Chris Menist who are both part of the travel party!

(http://www.planetrock-booking.de/)


THE PARADISE BANGKOK MOLAM INTERNATIONAL BAND LIVE AT OFF FESTIVAL, KATOWICE - POLAND 2013



THE PARADISE BANGKOK MOLAM INTERNATIONAL BAND LIVE AT CLANDESTINO BOTNIK FESTIVAL, SWEDEN 2013


THE PARADISE BANGKOK MOLAM INTERNATIONAL BAND LIVE AT WASSERMUSIK FESTIVAL, [HKW] BERLIN 2013



THE PARADISE BANGKOK MOLAM INTERNATIONAL BAND LIVE AT ZOMERPARKFEEST, VENLO - NETHERLANDS 2013

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ดังไกล! โฆษณาดัตช์ใช้เพลง"ไวพจน์"ประกอบโฆษณา

ดังไกล! โฆษณาดัตช์ใช้เพลง"ไวพจน์"ประกอบโฆษณา 
(http://www.posttoday.com/บ้นเทิง/บันเทิงไทย/312820
16 สิงหาคม 2557 เวลา 09:33 น)

ดังไกล! โฆษณาดัตช์ใช้เพลง"ไวพจน์"ประกอบโฆษณา
ชาวเน็ตปลื้ม !โฆษณาดัตช์ใช้เพลงไทย "ดิ๊ง ดิ๊ง ด่อง" ของ "ไวพจน์ เพชรสุพรรณ" ประกอบโฆษณา  (ชมคลิป) วันที่ 16 ส.ค. เว็บไซต์พันทิปโดยสมาชิกที่ชื่อว่า Pannarch ได้โพสต์คลิปโฆษณาน้ำผลไม้ยี่ห้อ CoolBest ที่เผยแพร่ในประเทศเนเธอร์แลนด์
ขณะที่นั่งชมรายการทางโทรทัศน์ของประเทศเนเธอร์แลนด์เพลินๆ (จริงๆแล้วก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอกคะ อาศัยดูภาพเอา 555) สักพักก็มีโฆษณาแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่นัก จนกระทั่งมีโฆษณาหนึ่งที่ดึงความสนใจของเราไปสุดพลัง นั่นคือโฆษณา CoolBest ตอนแรกที่ได้ยินเพลงประกอบโฆษณานี้ บอกเลยว่าไม่แน่ใจเนื่องจากไม่เคยได้ยินมากก่อน แต่ก็พยายามตั้งใจฟังและหลังจากฟังไปหลายๆรอบก็มั่นใจว่า เฮ้ย นี่มันเพลงไทยนี่หว่า ไม่รอช้าคะ ไปค้นในยูทูปแล้วฟังอีก 5 รอบ เอาให้ชัวร์ 555 
แต่เนื่องจากไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน แต่เห็นในคอมเม้นต์มนยูทูปว่าเป็นเพลงของคุณอาไวพจน์ เมื่อไปลองฟังดูแล้วปลาบปลื้มมากคะ ปลาบปลื้มที่โฆษณาของต่างชาติใช้เพลงไทยที่เด็กรุ่นหลังๆอาจจะไม่เคยได้ยิน และปลาบปลื้มที่ได้ยินเพลงไทยในต่างประเทศ แถมออกโฆษณาทุกช่องด้วย

เอามาฝากกันคะ 

(http://pantip.com/topic/32458670)


วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

"จักรินทร์ ศิรินนท์ธนเวช” แชมป์โกคาร์ทเยาวชนระดับโลก

เปิดใจ “จักรินทร์ ศิรินนท์ธนเวช” แชมป์โกคาร์ทเยาวชนระดับโลก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์25 กรกฎาคม 2557 11:33 น.

หากจะกล่าวถึงกีฬาเกี่ยวกับความเร็วหรือมอเตอร์สปอร์ต คงมีไม่กี่ชนิดที่ได้รับความนิยมและใครต่อใครหลายคนต่างหลงใหล โดยเฉพาะ “กีฬาโกคาร์ท” แต่ด้วยความเร็วแรง “โกคาร์ท”อาจกลายเป็นกีฬาที่น่ากลัวสำหรับใครบางคน ซึ่งต่างจากหนุ่มน้อยคนนี้ เพราะด้วยเสน่ห์ของความเร็วที่เร้าใจ ทำให้เขาตกหลุมรักได้โดยไม่ยาก และจากกีฬาที่มาจากความชื่นชอบ นำมาซึ่งการต่อยอดและก้าวสู่ตำแหน่งระดับโลกด้วยวัยเพียง 14 ปี ได้อย่างง่ายดาย

เปิดใจ  “จักรินทร์ ศิรินนท์ธนเวช” แชมป์โกคาร์ทเยาวชนระดับโลก

     “น้องเนมคุง - จักรินทร์ ศิรินนท์ธนเวช” เริ่มก้าวเข้าสู้วงการกีฬาโกคาร์ทครั้งแรกจากการชักชวนของคุณพ่อ ด้วยเหตุผลที่อยากให้ลูกได้ใช้เวลาว่าให้เป็นประโยชน์ เรียนรู้การมีน้ำใจนักกีฬา พร้อมได้สร้างจิตสำนึกในการขับขี่ปลอดภัยจากกีฬาชนิดนี้ จึงทำให้น้องเนมคุง เกิดความชื่นชอบ และต่อยอดทักษะพร้อมพัฒนาฝีมือจนคว้าตำแหน่งแชมป์ประเทศไทย ถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อปี 2555 และก่อนหน้านั้นได้คว้า ตำแหน่งรองแชมป์โลก รุ่น T-Kart Mini Rok 60 cc. จากประเทศอิตาลี ในปี 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งนำมาซึ่งความภาคภูมิใจแก่ชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง
       
       ทุกวันหยุดเสาร์- วันอาทิตย์ เนมคุงจะใช้เวลาทุ่มเทให้กับการซ้อมโกคาร์ท ตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึง 6 โมงเย็น ด้วยความมุ่งมั่นและความรักในกีฬาความเร็วชนิดนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เนมคุงตั้งใจไม่แพ้การกีฬา คือการให้ความสำคัญในเรื่องการเรียน 
เปิดใจ  “จักรินทร์ ศิรินนท์ธนเวช” แชมป์โกคาร์ทเยาวชนระดับโลก

 “เราต้องทบทวนหนังสือที่เราเรียนมาทุกวันครับ” คำแนะนำเทคนิคการเรียนเก่งจากปากแชมป์โลกหนุ่มน้อยของเรา
       
       ปัจจุบัน เนมคุง เรียนอยู่ชั้น ม.2 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรังสิต ด้วยความที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันฯที่ต่างประเทศบ่อยครั้ง จึงต้องการต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านภาษาให้ดียิ่งขึ้นไปในระดับคุณภาพ พร้อมๆ กับการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องในฐานะเด็กไทย 
       
       สำหรับกีฬาโกคาร์ท หากมองเผินๆ อาจดูค่อนข้างอันตราย ด้วยลักษณะกีฬาที่ต้องวัดกันระหว่างความเร็วกับเวลา แต่แท้จริงแล้ว “เนมคุง” ได้อธิบายถึงเสน่ห์ของกีฬาชนิดนี้ให้เราเข้าใจว่า ในการฝึกกีฬาโกคาร์ทนั้น มีความปลอดภัย ซึ่งจะอยู่ในความควบคุมของครูผู้ฝึกสอน โดยจะเป็นผู้แนะนำการขับขี่ที่ถูกวิธี รวมถึงเทคนิคพิเศษต่าง ๆ อาทิ การเข้าโค้ง การควบคุมความเร็ว จุดเบรกและจุดบังคับเลี้ยว โดยจะทำการฝึกในสนามฝึกซ้อมที่มีมาตรฐานเท่านั้น ที่สำคัญกีฬาประเภทนี้ ยังสอนให้เขาได้เรียนรู้ในเรื่องไหวพริบและการตัดสินใจที่ดี เรียนรู้พื้นฐานด้านการระเบียบวินัยในการขับขี่และปลอดภัยเพื่อที่จะเป็นผู้ขับขี่ที่ในอนาคตได้ 
เปิดใจ  “จักรินทร์ ศิรินนท์ธนเวช” แชมป์โกคาร์ทเยาวชนระดับโลก

การเล่นกีฬาช่วยส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งประโยชน์ด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และจิตใจ อย่างแยบยล โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ซึ่งตามธรรมชาติพวกเขามีความพร้อมที่อยากจะเล่นหรือร่วมกิจกรรมกีฬานั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การปลูกฝังกิจกรรมทางด้านกีฬาตั้งแต่วัยเด็ก จะยิ่งเป็นการส่งเสริมให้เขาเหล่านั้นมีความสนใจ
       
       และสนุกกับการเข้าร่วมกิจกรรมนั้นๆ และจะตั้งใจพร้อมซึมซับเอาสิ่งที่ดีมีประโยชน์และสร้างคุณค่าได้ดียิ่งขึ้น ดังเช่นตัวน้องคนนี้ “เนมคุง - จักรินทร์ ศิรินนท์ธนเวช”


วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

กล้วยตากไทยดังถึงเกาหลี!โกยกว่า300ล้าน

กล้วยตากไทยดังถึงเกาหลี!โกยกว่า300ล้าน
โดย...วราภรณ์ เทียนเงิน

กล้วยตาก ขนมไทยแท้ที่อยู่กับประเทศไทยมานาน กำลังสยายปีกและเติบโตไปต่างประเทศทั้งอาเซียน ในประเทศมาเลเซีย รวมถึงประเกาหลีใต้ ที่ชื่นชอบรสชาติกล้วยตากไทย กับแบรนด์นี้ “ป้าเพียน” มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กล้วยไทย

"สิทธิพงษ์ แสงสมัย" ผู้บริหาร ห้างหุ้นส่วนจำกัด แม่ตะเพียนการเกษตร จ.พิจิตร ในฐานะทายาทรุ่นสาม ของแบรนด์นี้ที่อยู่ในประเทศมาถึง 25 ปี โดยสินค้าของ "้ป้าเพียน" มีทั้งกล้วยตาก มะขามจี๊ดจ๊าด และมะม่วงหยี ซึ่งได้ทำตลาดในประเทศผ่านทั้งห้างค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าต่างๆ มีรสชาติตั้งแต่ รุ่นต้นตำรับคือ กล้วยตากธรรมชาติ กล้วยตากอบน้ำมผึ้ง เป็นต้น



(01 กรกฎาคม 2557 เวลา 19:16 น. http://www.posttoday.com/)

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

"อินิทรี" รุกอาเซียน ต่อยอด "คอนเทนต์" ไทย

updated: 27 มิ.ย. 2557 เวลา 19:58:06 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
พับแผนเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นออกไปก่อน สำหรับ "อินิทรี ดิจิตอล" 1 ในผู้ให้บริการเกมออนไลน์ไทย โดยก่อนหน้านี้ได้ประกาศความร่วมมือกับ "ซอฟต์แบงค์ เวนเจอร์ส โคเรีย" (SBVK) เปิดทางให้เข้ามาถือหุ้น พร้อมเป้าหมายในการขยับขยายธุรกิจไปในระดับภูมิภาค ในฐานะผู้สรรหาคอนเทนต์ (Content Aggregator) ไม่ได้จำกัดตนเองเป็นแค่ผู้ให้บริการเกมออนไลน์อีกต่อไป
ภัทธีรา อภิธนาคุณ แม่ทัพหญิงแห่ง "อินิทรี" กล่าวว่า จากประสบการณ์ในธุรกิจโทรศัพท์มือถือ และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของพันธมิตรร่วมทุน (เข้ามาถือหุ้น 23%) ทำให้บริษัทมีโอกาสขยับขยายธุรกิจไปได้กว้างขวางขึ้นในภาวะที่สถานการณ์ธุรกิจเกมออนไลน์บนคอมพิวเตอร์พีซีแข่งขันกันค่อนข้างหนัก ซึ่งบริษัทต้องการขยับไปเป็นผู้รวบรวมคอนเทนต์ต่าง ๆ เพื่อให้บริการในระดับภูมิภาค

โดยเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ตั้งบริษัท "กาแลคซี่ เวนเจอร์" เพื่อลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องเพื่อเป็นแหล่งรายได้ใหม่ ที่ผ่านมา เน้นลงทุนในกลุ่มเทคสตาร์ตอัพ ทั้งไทยและต่างประเทศ ปัจจุบันเข้าไปลงทุนใน 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท Level Up Plus ซึ่งเป็นกลุ่มนักพัฒนาที่ทำเกมบนเฟซบุ๊ก และ FA Mobile ผู้ให้บริการเกมบนโทรศัพท์มือถือในประเทศเวียดนาม เป็นต้น"

เมื่อปลายปีที่แล้วร่วมมือกับ "วิธิตา แอนิเมชั่น" เจ้าของลิขสิทธิ์ตัวละครในการ์ตูน "ขายหัวเราะ" รวบรวมคอนเทนต์การ์ตูน และนำขึ้นไปให้บริการในแอปพลิเคชั่น "ไลน์ คาเมร่า" เป็นสติ๊กเกอร์แต่งรูป เริ่มที่แคแร็กเตอร์ "หนูหิ่น"ดาวน์โหลดฟรี และมียอดดาวน์โหลดติดอันดับท็อป 10

จากความนิยมของแคแร็กเตอร์การ์ตูนไทย "อินิทรี" นำตัวละครในการ์ตูน "ขายหัวเราะ" ไปขายใน "ไลน์ สติ๊กเกอร์ช็อป" ราคาประมาณ 30 บาท ถูกกว่าของต่างประเทศ ทำให้ยอดโหลดโตอย่างรวดเร็ว

"ก่อนหน้าการร่วมทุนกับซอฟต์แบงค์ฯ เราก็สนิทสนมกันระดับหนึ่ง แต่ก็จะยิ่งใกล้ชิดทำให้มีคอนเน็กชั่นมากขึ้น เจรจากับบริษัทในต่างประเทศง่ายกว่าเดิม การทำงานร่วมกับไลน์ก็เช่นกัน จากนี้เราจะนำคอนเทนต์อื่น ๆ ในไทยขึ้นไปให้บริการในเวทีโลกมากขึ้น ฝีมือคนไทยเป็นที่ยอมรับ"


หน้าที่ "อินิทรี" คือ การรวบรวมและช่วยดูแลด้านการตลาดให้กับคอนเทนต์นั้น ๆ

สำหรับธุรกิจดั้งเดิมอย่าง "เกมออนไลน์" ใช่ว่าจะลดบทบาทลงแต่อย่างใด แต่ยังถือเป็นรายได้หลักของบริษัท ซึ่งปีนี้จะรุกตลาดมากขึ้นไปอีก เพราะภาพรวมตลาดแข่งขันกันหนัก มีเกมหลากหลายประเภทเข้ามาให้บริการ ขณะที่พฤติกรรมเกมเมอร์ไทยเปลี่ยนเกมเร็ว หากปรับตัวไม่ทันจะมีปัญหา ปัจจุบันมีฐานลูกค้ากว่า 17 ล้านไอดี และจะขยายไปในกลุ่มอาเซียนก่อน

"เราให้บริการ 15 เกม เป็นเกมออนไลน์บนพีซี 6 เกม, เว็บไซต์ 7 เกม บนมือถือ 2 เกม จะมีเกมใหม่ บนพีซี 3-4 เกม, เว็บไซต์ 3 เกม มือถือ 4 เกม ในสิ้นปีนี้มีกว่า 20 เกม ไม่ได้มีแค่แนว MMORPG"

หนุ่มไทยสร้างประวัติศาสตร์ คว้าที่ 1 กีต้าร์คลาสสิคระดับโลกที่อเมริกา

updated: 27 มิ.ย. 2557 เวลา 10:10:47 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
หนุ่มไทยสร้างประวัติศาสตร์ คว้าที่ 1 กีต้าร์คลาสสิคระดับโลกที่อเมริกา เผยเป็นเอเชียคนแรก ได้เซ็นสัญญาอัดแผ่นเสียงพร้อมทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก เจ้าตัวเผยขอบคุณผู้สนับสนุน และจุดประกายบอก “คนไทย…ตั้งใจทำอะไร ไม่แพ้ชาติใดในโลก”
เรียกเสียงฮือฮาไปทั่วแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ทันทีที่การแข่งขันการแข่งขันกีตาร์คลาสสิคระดับนานาชาติประจำปี 2557 รายการใหญ่ "GFA International Guitar Competition 2014" เสร็จสิ้น โดยกรรมการประกาศชื่อ "เอกชัย เจียรกุล" หรือ "เบิร์ด" หนุ่มไทยวัย 27 ปี เป็นผู้คว้าตำแหน่งชนะเลิศ เหนือคู่แข่งที่เป็นตัวเก็ง อย่าง เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นเด็กเอเชียคนแรกและคนเดียวที่สามารถมายืนอยู่บนเวทีนี้

เจ้าตัวเผยไม่คาดฝันได้แต่บอกตัวเองว่าทำให้ดีที่สุดพยายามหาประสบการณ์โดยการตะลอนแข่งบนเวทีใหญ่ๆรวมระยะเวลากว่าสิบปีที่สุดก็คว้าชัยในเวทีใหญ่ได้ แถมเป็นเอเชียคนแรกอีกด้วย เจ้าตัวเป็นปลื้มเตรียมรับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต กลายเป็นศิลปินเต็มตัว ได้รับสิทธิ์อัดแผ่นเสียงกับค่ายเพลงคลาสสิคชื่อดัง 2 แห่งคือ Naxos และ GHA พร้อมได้แสดงที่ Carnegie Hall และต้องเตรียมโชว์ออนทัวร์อีกว่า 50 คอนเสิร์ตทั่วโลกในปีหน้า
โดย เบิร์ด-เอกชัย เผยว่า "บรรยากาศกาศแข่งขันในปีนี้ มีผู้สมัครเข้าแข่งขันทั้งสิ้น  52 คนครับ จากหลายประเทศทั่วโลก เพลงที่ใช้แข่ง ในรอบชิงชนะเลิศ ทางการแข่งขันกำหนดให้เล่นเพลงอะไรก็ได้ 25 นาที พร้อมกับเพลงบังคับที่แต่งพิเศษขึ้นมาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ โดยเขาจะส่งโน้ตเพลงบังคับมาให้ 2 เดือนก่อนแข่ง ส่วนเพลงเลือก 25 นาทีนั้น เบิร์ดเลือกเล่นเพลงหลากหลายแนว เช่น เพลง Rito de Los Orisha เป็นเพลงแนว Contemporary จะมีสำเนียงใหม่ ๆ หรือเพลง ในยุคคลาสสิค Caprices จากนักประพันธ์ชาวอิตาเลียน ซึ่งจะโชว์เทคนิคการเล่นกีตาร์ขั้นสูง โดยโปรแกรมเพลงของเบิร์ดนั่นจะเลือกให้หลากหลายแนว

ด้านหลักเกณฑ์การตัดสิน พิจารณาจากเทคนิคการบรรเลง, การตีความหมายบทเพลง, การนำเสนอบนเวที นอกจากนี้เจ้าตัวเผยเบื้องหลังความสำเร็จไม่ได้มาง่าย ๆ ตนเพียรพยายามมากว่าสิบปี  แม้จะยังไต่ไปไม่ถึงจุดสูงสุดก็ไม่ท้อ สู้อุตส่าห์ฝึกฝนและตระเวนแข่ง พร้อมขอบคุณผู้สนับสนุนที่ให้โอกาส "เบิร์ดแข่งมาทั่งหมดเกือบ 10 ปี ตั่งแต่รายการเล็ก ๆ จนมาถึงวันนี้ ชนะรายการใหญ่ที่สุดของโลก โดยการชนะรางวัลที่ 1 รายการนี้ ไม่ได้มีความหมายเฉพาะตัวเบิร์ด แต่หมายถึงประเทศไทย เพราะในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีคนเอเชียเคยได้รางวัลที่ 1 ใหญ่ขนาดนี่มาก่อน

ชีวิตเบิร์ดเปลี่ยนไปทันที ต้องเตรียมความพร้อมทัวร์ 50 กว่าคอนเสิร์ตทั่วโลกในปีหน้า พร้อมได้อัดแผ่นเสียงกับค่ายเพลงคลาสสิคชื่อดัง 2 แผ่น Naxos และ GHA พร้อมได้แสดงที่ Carnegie Hall นับเป็นความภาคภูมิใจมาก ๆ ครับ"

สำหรับการแข่งขันกีตาร์คลาสสิคระดับนานาชาติประจำปี 2557 รายการ "GFA International Guitar Competition 2014" ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-26 มิถุนายน 2557 นั้น ถือเป็นการแข่งขันกีต้าร์ระดับนานาชาติที่ใหญ่และยากที่สุดในโลก เปรียบเสมือนการแข่งขันโอลิมปิกของแวดวงกีตาร์คลาสสิคเลยทีเดียว

วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ซีที เอเชีย ส่งหุ่นยนต์ ดินสอ มินิ เจาะกลุ่มผู้สูงอายุ พร้อมดันส่งออกญี่ปุ่นปี 2558.... อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1psbueQ

นายเฉลิมพล ปุณโณทก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีที เอเชีย เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนเปิดตัวหุ่นยนต์ดินสอ รุ่นมินิ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในเดือน เม.ย.นี้ โดยเป็นหุ่นยนต์ที่เจาะกลุ่มลูกค้าผู้สูงอายุนชราอายุ 80 ปีขึ้นไป และคนป่วย ที่ต้องการมีหุ่นยนต์ไว้ดูแลผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้มีแผนร่วมมือกับโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท เพื่อให้มีแพทย์สามารถติดตามและดูแลผู้สูงอายุผ่านหุ่นยนต์ดินสอ มินิ ทั้งนี้บริษัทได้ลงทุน 10 ล้านบาท เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ให้มีศักยภาพการทำงานที่สูงขึ้น ทั้งการพัฒนาระบบเทเล เมดิซีน ทำให้แพทย์สามารถติดตามอาการคนป่วยและผู้สูงอายุผ่านจอมอนิเตอร์ของหุ่นยนต์ได้ การพัฒนาหุ่นยนต์ให้เชื่อมกับระบบมือถือทั้งสมาร์ทโฟนและแอนดรอยด์ ทำให้สามารถติดตามผู้สูงอายุได้ พร้อมกันนี้ มีแผนส่งออกหุ่นยนต์ดินสอไปต่างประเทศในปี 2558 คาดว่าจะเริ่มที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นตลาดใหญ่และมีประชากรสูงอายุมากถึง 30 ล้านคน มั่นใจว่ามีโอกาสสร้างยอดขายได้ดี โดยหุ่นยนต์ดินสอ มินิ ถือเป็นหุ่นยนต์รุ่นแรกที่ดูแลผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ได้ตั้งเป้าหมายว่า ในปี 2557 นี้จะสร้างยอดขายหุ่นยนต์ดินสอ มินิ จำนวน 1,000 ตัว โดยคิดค่าบริการเช่าอยู่ที่ 1 แสนบาทต่อปี สำหรับลูกค้าที่ไม่ต้องการซื้อหุ่นยนต์.... อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1psbueQ

(http://www.posttoday.com/)


วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557

คนไทยผู้ขับเคลื่อนธุรกิจพลังงานจากของเสีย

อาจจะยังฝันไม่ไกล แต่ “ลิขิต นิ่มตระกูล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปภพ จำกัด ก็เป็นตัวอย่างธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่รับมือกับอุปสรรคหลากประการอย่างไม่ถอดใจ จนธุรกิจประสบความสำเร็จ
ลิขิต เริ่มต้นธุรกิจจากการเป็นบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาคนไทย 100% รับจ้างออกแบบและก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย ที่ไม่ยอมซื้อองค์ความรู้จากต่างประเทศ อยากรู้เรื่องไหนก็ลงมือ “ปฏิบัติ” เองหมดทั้งวิจัยและพัฒนา ความที่คลุกคลีในแวดวงอุตสาหกรรมจึงเห็นขุมทรัพย์ จากการแปร “ของเสีย” จากโรงงานมาผลิตพลังงานก๊าซชีวภาพทดแทนพลังงานน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) ถ่านหิน หรือเชื้อเพลิงที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม จนสามารถลดต้นทุนให้ลูกค้า เพิ่มรายได้ใหม่ให้บริษัทในปัจจุบัน
2 ปี ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง เป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจบำบัดน้ำเสียที่มากด้วยปรปักษ์ทั้งเล็กใหญ่ แข่งขันสูง ห้ำหั่นด้วยราคา รายเล็กอย่างเขาคงเสร็จแน่ เขาวิเคราะห์เพื่อหาทางออกจากน่านน้ำทะเลแดงเดือด (Red Ocean) จนค้นพบคำตอบ คือ ความต่าง หาอะไรที่ไม่เหมือนเดิมมาขาย แต่ไม่ไกลจากธุรกิจเดิมที่ชำนาญ
ความคิดแรกคือการคิดหาเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียดีๆ มาป้อนลูกค้า แต่จุดอ่อนอยู่ที่ ค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว
"ง่ายๆต้องมีรายได้เลี้ยงตัวเองก่อน ไม่ต้องนำเงินส่วนกลางมาใช้ สุดท้ายหากธุรกิจดีจริงธุรกิจต้องทำกำไรและคืนทุน"
เขาใช้เวลาค้นหาปีกว่า จนเจอเทคโนโลยีที่ใช่จากยุโรป พยายามศึกษาหาความรู้อาศัยว่าเรียนวิชาเหล่านี้มาคงไม่ยาก “เอาเข้าจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น” เลยต้องหาผู้เชี่ยวชาญระดับดอกเตอร์มาช่วยกันทำงาน จนสร้างผลงานออกขายในตลาด
ผ่านไป 2 ปี กว่าจะได้ลูกค้ารายแรกในธุรกิจผลิตขนมปัง ที่กำลังมองเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสีย บวกกับความเฮงที่จังหวะนั้นวิกฤติต้มยำกุ้งมาเยือน ธุรกิจย่ำแย่เป็นแถบ แต่เซ็กเตอร์อาหารส่งออกกลับร่ำรวย กำไรมหาศาลจากค่าเงิน ลูกค้ารายแรกจึงทำให้บริษัทเติบโตตามไปด้วย
แต่โจทย์ใหม่ก็ผุดขึ้น เมื่อเขาต้องการขยายกิจการแบบ “ก้าวกระโดด” ขายโปรเจคบำบัดน้ำเสียให้บรรดาโรงงานขนาดใหญ่ หลังมีผลงานอ้างอิง ทว่า...โรงงานที่จะ “ซื้อ” ระบบดังกล่าวจะต้องขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ในขณะนั้นไม่รู้จักระบบบำบัดน้ำเสียว่าคืออะไร เลยขายของไม่ได้
“เอสเอ็มอีมาแต่ตัว มีแต่ความมุ่งมั่น และความรู้ด้านการผลิต แต่ไม่รู้วิธีการขาย การเงิน เงินไม่มี” นั่นเป็นชนวนเหตุให้เขาออกแรงหายุทธวิธีล้างเงื่อนไขที่เผชิญ เริ่มเขียนแผนธุรกิจและมองหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงสุด จนมาลงเอยที่ “อุตสาหกรรมมันสำปะหลัง” ของเสียส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไกล แถมใช้น้ำมันเตาในกระบวนการผลิต
ขณะที่แง่คิดธุรกิจสตาร์ทอัพที่ทิ้งไว้ หลังจากยืนได้ด้วยความรู้ ผู้คนหยิบยื่นความช่วยเหลือ ความเฮง ก็ต้องหาทางเติบโตอย่างยั่งยืน บรรจุในวิสัยทัศน์บริษัทให้บุคลากรรับรู้และพุ่งเป้าไปทิศทางเดียวกัน
3-4 แนวทางที่องค์กรต้องปฏิบัติคือ 1. วิจัยและพัฒนาสินค้า เพราะเมื่อไหร่ที่คนภายนอกมองธุรกิจที่ทำอยู่ “ดี” ก็จะมีคู่แข่ง “แห่แหน” ตามมาทั้งไทย-เทศ จะหนีได้ก็ต้องพัฒนาสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน 2.การพัฒนาสินค้าใหม่ ยังเป็นการ “เปิดตลาดใหม่” 3.พัฒนาบุคลากร สำคัญมาก องค์กรต้องรักษาทรัพยากรมนุษย์ที่ร่วมหัวจมท้ายไว้ให้ได้ ทักษะการทำงานที่บ่มเพาะมา 5-10 ปี ถูกซื้อตัวได้ง่ายเพียงแค่คู่แข่งยื่นผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 2 เท่า หลายคนยอมไป
“ฉะนั้นเราจะเป็นองค์กรแห่งความสุข มีประสิทธิภาพสูง อะไรก็ตามที่จะทำให้พนักงานมีความสุข ฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องเข้ามาจัดการให้อยู่หมัด ทั้งรายได้ สวัสดิการ โดยเฉพาะความรู้สึกผูกพัน เป็นสาระสำคัญกว่าสิ่งอื่น ลูกน้องหนีไม่หนีอยู่ที่หัวหน้า ถ้าไม่ค่อยดูแลลูกน้องก็หนีหมด ต่อให้เงินเดือนมากเท่าไหร่ก็ไม่อยู่ เพราะเหม็นหน้าหัวหน้า” พร้อมย้ำให้ผู้ประกอบการต้องพัฒนาตลาดต่อเนื่อง และยกระดับจากผู้จำหน่ายสินค้าผันตัวสู่การเป็นหุ้นส่วน “ร่วมลงทุน” กับโรงงานเพื่อต่อยอดความยั่งยืน

(http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20140414/574962/Startup-สายพันธุ์ไทย-ปฏิบัติการล้มยักษ์.html)

จัมโบ้ (JUMBO) นวัตกรรมรถลากจูงระบบไฟฟ้าของไทย

จัมโบ้”เมดอินไทยแลนด์
ทะลวงดินแดนนวัตกรรมยานยนต์
การเริ่มสตาร์ทว่ายากแล้ว การ "จุดให้ติด" เป็นเรื่องยากกว่า เมื่อต้องฟาดฟันกับยักษ์ระดับโลก แม้จะเหนื่อย แต่ "ประเสริฐ เจนศิริวานิช" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจนบรรเจิด จำกัด พิสูจน์ให้เห็นศักยภาพของเอสเอ็มอีไทย ที่ขึ้นชั้นบิ๊กเนมได้ด้วยสองมือ
จุดสตาร์ทอัพของเขาอาจได้เปรียบกว่าอีกหลายราย นั่นเพราะมองตลาดทะลุตั้งแต่ต้น เริ่มจากการจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ ภาชนะพลาสติก นำเข้าสินค้านานาชนิดป้อนอุตสาหกรรม จนรู้ว่า ธุรกิจที่ทำเป็นส่วนหนึ่งในการจัดเก็บสินค้า การขนส่งอุปกรณ์ต่างๆ เลยผนวกทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียว ป้อนลูกค้า “กลุ่มเดียวกัน” แบก One stop service
ประกาศตัวสู่การเป็นศูนย์กลางผลิตภัณฑ์เพื่อการจัดเก็บ ยก ย้าย สินค้า นั่นเป็นคอนเซปต์แรกที่ดำเนินการ เพราะขณะนั้นไม่มีคนทำธุรกิจนี้ ก่อนตะลุย "ส่งออกรถเข็น" คุณภาพเยี่ยมสายพันธุ์ไทยไปยัง 3 ทวีป กว่า 30 ประเทศทั่วโลก โดยมี “เยอรมัน” ดินแดนแห่งยนตรกรรมของโลก เป็นตลาดหลัก
แบรนด์ “จัมโบ้” (JUMBO) คือยี่ห้อนวัตกรรมรถลากจูงระบบไฟฟ้าของไทยราคา 200,000-300,000 บาท ที่เขาพูดได้เต็มปากว่า Made in Thailand และส่งออกไปในหลายประเทศ แม้จำนวนไม่มาก แต่สตาร์ทอัพในอดีตเช่นเขาก็ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ได้ไม่แพ้บิ๊กเนม
“รถลากจูงระบบไฟฟ้ายี่ห้อจัมโบ้ ส่งออกหลายประเทศ สินค้าตัวนี้ผมภูมิใจสุดๆ เราไปซื้อตัวอย่างรถจากอิตาลี ตัวเล็กๆ แล้ววิศวกรรมที่บริษัทก็คิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อขยายสัดส่วน จากรถที่ลากวัตถุได้ 300 กก. ก็เพิ่มเป็น 1,200 กก.และ 2,500 กก. และยังได้รับรางวัล มาตรฐานต่างๆ” เขาเล่าด้วยความภาคภูมิใจ
นอกจากนี้ 7-8 ปีก่อน ค่ายรถยนต์ชั้นนำของโลกอย่างโตโยต้า ก็สั่งซื้อไปรวมกว่า 300 คัน เพื่อใช้ในโรงงาน หากใครไปเยี่ยมชมจะเห็นยี่ห้อ “จัมโบ้” ละลานตา ค่ายนิสสันเองก็ใช้ระบบเช่าสินค้ามากกว่า 150 คัน
“เป็นเรื่องที่ทีมงานภาคภูมิใจ ผมยกความดีความชอบให้กับทีมวิศวกรคนไทย ถึงแม้เราตั้งนโยบายแล้ว แต่เริ่มลงมือช้าไปหน่อย แต่ท้ายที่สุดเราก็ผลิตสินค้าเนี้ยบๆ ได้”
ประเสริฐ ถอดสมการตลาดอย่างเฉียบคมมาก ยุคก่อนฟองสบู่แตก ปี 2539 เขาตกปากรับคำผู้ผลิตอีควิปเมนต์แถวหน้าของโลก เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่าย ท่ามกลางการแข่งขันเดือด มีทั้งเจ้าตลาด คู่แข่งนานัปการ กำไรบาง ทำตลาดหิน..แต่ก็ตอบรับ !!
การเป็นพันธมิตรธุรกิจครั้งนั้น เขามองว่ามันคือ “กลยุทธ์การตลาด”
“การที่บริษัทเอสเอ็มอีเล็กอย่างเรา ขายสินค้าแบรนด์อันดับ 1 ของโลก จนสร้างยอดขายสูงสุด 2-3 ปี ทำให้ลูกน้องเรามีโอกาสเรียนรู้การทำงานร่วมกับบริษัทระดับโลก ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีใหม่ๆ ยกระดับภาพลักษณ์ขององค์กร และความเชื่อถือจากลูกค้า”
(http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20140414/574962/Startup-สายพันธุ์ไทย-ปฏิบัติการล้มยักษ์.html)

หุ่นยนต์ดินสอ

"เฉลิมพล ปุณโณทก" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีทีเอเชีย จำกัด เจ้าของไอเดียปั้นหุ่นยนต์ไทยผงาดเวทีโลก เล่าว่า "คีย์เวิร์ด" ของการทำธุรกิจสำหรับเขาเริ่มในวัย 24 จากคำว่า “อุดมการณ์” “สปริงบอร์ด” และ “ต่อกรยักษ์ใหญ่”
อุดมการณ์ของเขา คืออยากทำอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เทียบชั้นยักษ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อย่าง "โซนี่"
เมื่อเป้าหมายธุรกิจกระจ่างชัด จึงเริ่มหา "สปริงบอร์ด" ด้วยการท่องยุทธจักรอเมริกา ทำงานกับพี่เบิ้มการเงินของโลกอย่างจีอี แคปปิตอล ที่ชิคาโก “ล้วงตับ” ฝรั่งมังค่า เรียนรู้และอาสาทำงานปรับปรุงระบบคอลเซ็นเตอร์ เรียกว่า อาศัยบารมีองค์กรยักษ์ส่งเทียบเชิญเทรนเนอร์หัวทองมานำเสนอระบบ ดูดองค์ความรู้เต็มพิกัด ก่อนกลับมาขบคิดสร้างสรรค์ธุรกิจเพื่อชาติ
ลงเอยที่การขายซอฟต์แวร์ป้อนไอบีเอ็ม
"ตอนนั้น จังหวะชีวิตดีเมื่อไอบีเอ็มประกาศเลิกผลิตซอฟต์แวร์ทั่วโลก หันมาให้บริการเป็นหลัก สิ่งที่ค้าขายยกเลิก เลยนำซอฟต์แวร์มันสมองคนไทยเข้าไปแทนที่"
จุดเด่นซอฟต์แวร์ของบริษัท ประกาศจุดยืนขอ "อยู่ตรงกลาง" เป็นทางเลือก ต่างจากซอฟต์แวร์ “สายพันธุ์” อินเตอร์อื่นๆ ทั้งอวาย่า (Avaya) ออราเคิล ไมโครซอฟต์
“แบรนด์สู้ไม่ได้ แต่โนวฮาวสู้ได้ เลยกวาดมาส่วนแบ่งตลาด 70%ในเมืองไทย” เขาระบุ
วันนี้เขายังอาสาเป็นคนต้นแบบ นำพาธุรกิจสตาร์ทอัพขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยผนวกนวัตกรรมสร้างหุ่นยนต์ระดับพระกาฬของเด็กไทย ที่ไปคว้าแชมป์จากเวทีโลกมานักต่อนัก แต่สุดท้ายผลงานมักถูกวางไว้บน "หิ้ง" ไร้การต่อยอดเชิงพาณิชย์
“แชมป์หุ่นยนต์ของไทยเยอะมาก สุดท้ายคนเหล่านี้กลับไปเป็นอาจารย์ และวนเวียนอยู่แบบนี้ ล่าถ้วยรางวัล เลยชวนคนเก่ง ดึงแชมป์มาทำงานสร้างหุ่นยนต์ แล้วเราเป็นผู้วางกลยุทธ์ และบริหาร กลายเป็นการผลิตหุ่นยนต์ดินสอตัวละ 1 ล้านบาท ให้บริการเชิงพาณิชย์ในร้านอาหารชื่อดังอย่าง เอ็มเคสุกี้ สร้างรายได้หลักร้อยล้านบาท"
ปี 2558 เขายังมุ่งมั่นจะส่งผลงานสมองกลไปบุกตลาดญี่ปุ่น เจาะกลุ่มเป้าหมาย "ผู้สูงอายุ" ในญี่ปุ่นที่ปัจจุบันมีมากถึง 30 ล้านคน โดยตั้งธุรกิจคอลเซ็นเตอร์นำร่อง ก่อนเสริมทัพด้วยบริการหุ่นยนต์
"สิ่งที่เป็นเป้าหมายใหญ่ของผมคือส่งออกหุ่นยนต์ไทยไปญี่ปุ่นให้ได้ ถ้าทำได้วันนั้นจะสะใจมาก เป็นความโรคจิตส่วนตัว (หัวเราะ) การเข้าไปบุกตลาดประเทศอื่นอาจง่ายกว่า แต่หากเข้าญี่ปุ่นได้ ก็จะไปประเทศอื่นได้ไม่ยาก" เขาฉายภาพ
ส่วนใครที่คิดว่าธุรกิจสตาร์ทอัพทำการตลาดไม่เก่ง ก็ต้องปิดจุดอ่อนให้ได้ โดยต้องหาตลาดเฉพาะ (นิช มาร์เก็ต) ให้เจอ อย่าหยุดคิดค้นนวัตกรรม และพยายามโดยสารไปกับองค์กรขนาดใหญ่ สร้างความแกร่ง เสริมทัพธุรกิจ ก่อนยกชั้นให้เป็นหุ้นส่วนหรือเจ้าของกิจการร่วมกัน
(http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20140414/574962/Startup-สายพันธุ์ไทย-ปฏิบัติการล้มยักษ์.html)

ข้าวโพดหวานแดงพันธุ์แรกของโลก

      อีกกรณีศึกษา คือการผันตัวจากนักวิชาการ สู่นักธุรกิจเต็มตัว "ดร.ทวีศักดิ์ ภู่หล่ำ" กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวีทซีดส์ จำกัด ผู้ประสบความสำเร็จในการคิดค้นเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวานสัญชาติไทย แบ่งเค้กยักษ์ใหญ่โลก
แม้จะนั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่ แต่ภารกิจที่ได้รับมอบหมายยังคงเป็นงานวิจัยเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ฐานที่คร่ำหวอดในห้องปฏิบัติการมานานถึง 32 ปี โดยปรับปรุงพันธุ์ “ข้าวโพดหวาน” ที่คนไทยบริโภคกันแพร่หลาย ร่วมกับเกษตรกรในพื้นที่ ผลงานช่วงแรกที่ออกมาก็ไม่ได้ขี้เหร่นัก แต่เกษตรกรกลับเอ่ยปากบาดใจว่า..
“อาจารย์เอาอะไรมาให้ปลูก หมายังเมินเลย ผมจำประโยคนี้ได้ เขาพูดแบบนั้นจริงๆ เพราะคนไม่อยากซื้อ ฝักมันเล็ก แต่เรามั่นใจว่าพันธุ์นี้อร่อย และตอบกลับไปว่า..สักวันหนึ่งหมามันจะต้องกิน”
เพราะวิจัยเมล็ดพันธุ์พืช ธุรกิจจะไปรอดได้ ต้อง “ขายออก” จึงเริ่มหาช่องทางการตลาด ด้วยการเจรจาการค้ากับโรงงานข้าวโพดกระป๋องในยุคนั้นทั้ง มาลี สามพราน และโรงงานริเวอร์แควร์ โดยรายหลังสนใจทำผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องส่งนอก เมื่อโรงงานปลูกเองไม่ได้ จึงใช้วิธีทำคอนแทร็ค ฟาร์มมิ่งหรือการทำสัญญาซื้อขายผลผลิตกับเกษตรกรล่วงหน้า
2 ปีผ่านไปเกษตรกรเข้าร่วมน้อย จนเข้าสู่ปีที่ 3 เกษตรกรเริ่มเข้าคิวรอทำคอนแทร็ค ฟาร์มมิ่ง มากถึง 3,000 ไร่
ธุรกิจหมาเมิน ก็เริ่ม OK !
ผลของการตัดสินใจเข้าสู่วงการสตาร์ทอัพ ทำให้เขารู้ว่าการทำธุรกิจสิ่งสำคัญคือ “ต้องมีความรู้” และ “รักษาคำพูด-คำมั่นสัญญา” ยิ่งการทำสัญญากับเกษตรกรทุกอย่างต้องเจรจาบนโต๊ะ และชัดเจนว่าสิ่งไหนทำได้หรือไม่ได้
ขณะที่สินค้าเมล็ดพันธุ์พืชจะทำการตลาด โหมโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ตายก็ไม่ได้ผล สิ่งที่ทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายซื้อสินค้า ต้องมาจาก "ความน่าเชื่อถือ" และจากการบุกเบิกตลาด
นอกจากการเพาะเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวานบุกเบิกตลาดเป็นรายแรกในไทย สิ่งที่ใหญ่ยิ่งและน่าภาคภูมิใจมากกว่านั้น คือการขยายธุรกิจสู่เวทีโลก !!
จังหวะเอื้อเมื่อยักษ์ขายผักระดับโลกยอดขายระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐ มองหาผู้เชี่ยวชาญตลาดข้าวโพดหวานในไทย หวังปั้นให้เป็นธุรกิจหลัก (Core business) ในเอเชีย จึงขอให้บริษัทนำเมล็ดข้าวโพดหวานพันธุ์ไทยไปขายทั่วโลก เปิดประตูการค้าสู่นานาชาติอย่างเป็นทางการ นั่นยังเป็นบทเรียนล้ำค่าหาไหนไม่ได้ เพราะทำให้รู้ว่าตลาดอยู่ตรงไหน พันธุ์อะไรเหมาะสำหรับพื้นที่ใด การปรับตัวของเมล็ดพันธุ์ทั่วโลก และรู้กลเม็ดว่า จะเปิดตลาดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวานในเอเชียอย่างไร
แต่ธุรกิจสตาร์ทอัพ จะยั่งยืนด้วยสินค้า 1 ตัวคงยาก ต้องหาสินค้าอื่นเสริมแกร่งให้สตาร์ทอัพอย่างแท้จริง ดร.ทวีศักดิ์ จึงไม่หยุดที่จะคิดค้นพันธุ์ข้าวโพดหวานใหม่ๆ ชูข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมควงซินเจนทา ซีดส์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกไปโด่งดังในเวทีอาเซียนบุกเวียดนาม ครองตลาดเกือบ 10 ประเทศ
หากแต่..ความภูมิใจสูงสุด คือการปั้นข้าวโพดหวานหรือซูเปอร์สวีทสีแดงพันธุ์แรกของโลก พร้อมตั้งสมญานาม “Siam Ruby Queen” จากความพยายามพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคชื่นชอบ ลองผิดลองถูกเพาะพันธุ์ข้าวโพดหวานข้าวเหนียวแดง ดึงอาจารย์จากฮาวายมาชิม ก่อนจะได้รับคำสบประมาท
“อร่อยขนาดนี้หมูเท่านั้นที่กิน” นี่กลับเป็นการจุดประกายให้ดร.ทวีศักดิ์ รู้ว่าโอกาสในการพัฒนาให้ “อร่อย” มีมหาศาล 3-4 ปีผ่านไปอาจารย์กลับมาชิมอีกครั้ง และให้คะแนนใหม่
“ยินดีด้วยคุณทำได้จริง” จบประโยคนี้เสียงปรบมือดังลั่น
ดร.ทวีศักดิ์ ทิ้งท้ายว่า “เอสเอ็มอีควรมีฝันที่ยิ่งใหญ่ ทำได้หรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง แต่สำคัญคือต้องมีความพยายาม”


http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20140414/574962/Startup-สายพันธุ์ไทย-ปฏิบัติการล้มยักษ์.html