วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ไทยกระหึ่ม "จิราเจต" โชว์เพลง Starlight คว้าแชมป์ทรอมโบนโลก


ไทยกระหึ่ม "จิราเจต" โชว์เพลง Starlight คว้าแชมป์ทรอมโบนโลก

วันอาทิตย์ ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2562, 13.44 น.

ไทยกระหึ่ม "จิราเจต" คว้าแชมป์ทรอมโบนโลก

การจัดงาน International Trombone Associationist 2019 หรืองานทรอมโบนโลกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐอินเดียนา​โปลิส จัดโดย Dr. Karen Marston ซึ่งเป็นอาจารย์​สอนทรอมโบนอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการแข่งขันนี้จะเปลี่ยนที่จัดงานไปทุกปี​ ปรากฎว่านายจิราเจต ถาวรศิริ ได้รับรางวัลชนะ เลิศการแข่งขัน Tenor trombone รุ่น อายุไม่เกิน 23​ ปีพร้อมกับรับเงินรางวัล 1000​ เหรียญ​สหรัฐ และประกาศนียบัตร
โดยการแข่งขันจะมี 2 รอบ รอบแรกจะคัดเลือกจากการส่งวิดิโอไปให้กรรม​การที่ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยบทเพลง The Bride of The Wave จากผู้เข้าแข่ง​ขันทั่วทุกมุมโลก และคณะกรรมการจะคัดเลือก ผู้แข่งขันจำนวน 3 คน จากทั่วทุกมุม โลกเพื่อเข้าแข่งขันสดรอบสุดท้ายที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา​ โดยใช้ บทเพลงเดียวกันทั้ง​ 3 คนด้วยบทเพลง Starlight ของ Arthur Pryor ผู้เข้าแข่งขันรอบสุดท้าย​ มี​ 3 ประ​เทศได้แก่​ 1.Jirajet Thawornsiri (ประเทศ​ไทย)​ 2.Pavlo Titiaiev (ประเทศ​ยูเครน)​ และ​ 3.Leonardo Fernandes (ประเทศ​โปรตุเกส)​ และการแข่งขันจะหาผู้ที่บรรเลงดีที่สุดจำนวน​ 1 คนเท่านั้นที่จะได้รับรางวัลชนะเลิศและได้รับประกาศนียบัตร และถูกบันทึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ของงานนี้

วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ฝันที่เป็นจริง “น้องแพรพาเพลิน” เมคอัพอาร์ทิสต์วัย 12 ปี จาก YouTube สู่เวทีระดับโลก

https://www.positioningmag.com/1232539
ติดตามทุกข่าวสารได้ผ่านช่องทาง LINE
Add friend ที่ @Positioningmag

ฝันที่เป็นจริง “น้องแพรพาเพลิน” เมคอัพอาร์ทิสต์วัย 12 ปี จาก YouTube สู่เวทีระดับโลก


02-06-2019 09:55:17
จากเด็กนักเรียนชั้น .1 อายุเพียง 12 ขวบ ได้เดินทางตามความฝันของตัวเองตั้งแต่อายุ 5 ขวบ จนก้าวไปถึงงานแฟชั่นดังระดับโลก อย่างงาน London Fashion Week 2018 ทำให้น้องแพรกลายเป็นสาวน้อยชาวไทยคนแรกที่ได้ร่วมเป็นหนึ่งของทีมเมคอัพอาร์ทิสต์งานครั้งสำคัญและใหญ่ที่สุดของเธอ   
ในวันนี้เธอเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวที่สามารถใช้เวลาว่างกับสิ่งที่ตนเองรัก สร้างรายได้ช่วยคุณพ่อ คุณแม่ได้อย่างสบายๆ จนเวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก น้องแพร ..ณัฏฐนันท์ สนุ่นรัตน์ หรือเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีทางช่อง YouTube “Nongpearpaplern”  ที่มีคนติดตามเกือบ 3 แสนคน

จุดเริ่มต้นของการทำคลิป

ตอนเด็กๆ น้องแพรชอบเล่นวิดีโอเกมแต่งหน้า เล่นไปเล่นมาก็ “จุดประกาย ให้เธออยากทดลองทำด้วยตัวเองประกอบกับโรงเรียนมีงานแสดงบ่อยมาก คุณแม่จึงซื้อเครื่องสำอางไว้แต่งหน้าให้ 1 ชุด น้องแพรจึงเริ่มแต่งหน้าตัวเองอัดคลิปเอง ทำทุกวันหลังจากกลับมาจากโรงเรียน
จนบางครั้งคุณแม่ก็จะมีดุบ้างเพราะกลัวว่าน้องจะแพ้เครื่องสำอาง แต่เมื่อเห็นว่าลูกชอบและทำแล้วมีความสุขจึงไม่ได้ห้าม เลยเลือกเอาบางคลิปที่สนุกๆ ขำๆ ไปลงช่อง Youtube และใช้ชื่อ น้องแพรพาเพลิน ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
แต่จากกระแสตอบรับด้านลบเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบความรู้สึกและจิตใจเด็กในวัยเพียง 5 ขวบเป็นอย่างมาก น้องแพรเล่าให้ฟังว่า ตอนอ่านคอมเมนต์เหล่านั้นทำให้เธอรู้สึกแย่มากๆ อ่านไปร้องไห้ไป จึงตัดสินใจหยุดทำคลิปไปพักใหญ่ๆ ส่วนตัวคุณแม่เองตอนแรกๆ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนเป็นแผลในใจ เพราะคอมเมนต์ด้านลบส่วนใหญ่จะคิดว่าน้องแต่งหน้าไปเที่ยวหรือจะออกไปข้างนอก ทั้งๆ ที่น้องจะล้างออกทุกครั้งหลังถ่ายคลิปเสร็จ
การที่มีคอมเมนต์ต่างๆ นานาในทางลบบนโลกอินเทอร์เน็ตนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะกับเด็ก ในฐานะคนเป็นแม่ไม่ควรมองข้ามถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยก็ตาม เพราะถ้าไม่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง จะไม่รู้ถึงความรู้สึกนั้นเลย
แม่จึงต้องให้กำลังใจน้องแพร คอยให้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อหาทางออก แม่จะถามน้องแพรตลอดว่า “ชอบจริงๆ หรือเปล่า ไม่อยากทำตามความฝันของตัวเองแล้วหรือ ไม่ต้องเก็บคำพูดเหล่านั้นมาคิดเพราะจะบั่นทอนจิตใจ
แม้จะมีคำตำหนิ เช่น วัยนี้ไม่น่าทำคลิปแบบนี้ เกินวัย ไม่เหมาะสม และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ก็เป็นส่วนน้อย ยังมีคนอีกมากมายที่เขารักและชื่นชอบดูคลิปเรา 
ทำให้แพรตัดสินใจลุกขึ้นมาอีกครั้ง โดยมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เข้มแข็งขึ้น ใครจะติอย่างไรก็ไม่สนใจแล้ว
จากครูพักลักจำจากวิดีโอเกมมาเป็นการเรียนแต่งหน้าเป็นเรื่องเป็นราว เมื่ออายุได้ 7 ขวบ คุณแม่เห็นว่าน้องแพรชอบการแต่งหน้าอย่างจริงจัง และจากการดูทักษะคอนเทนต์จากช่องอื่นๆ ทาง YouTube แล้ว จึงตัดสินใจพาน้องไปเรียนแต่งหน้าที่เริ่มต้นในกรุงเทพฯ ก่อน แบบเป็นคอร์สสั้นๆ มีทั้งแบบ 1 - 4 วัน หรือ อาทิตย์
จนกระทั่งน้องอายุ 9 ขวบ จึงเริ่มมีแฟนคลับเข้ามาทักและติดต่อให้ไปแต่งหน้าให้ หลังจากได้รับติดต่อจากลูกค้าคนแรกให้ไปแต่งหน้าเพื่อไปร่วมงานแต่งงาน และหลังจากนั้นน้องแพรก็ได้รับการติดต่อเป็นจำนวนมากแต่การที่น้องต้องเรียนทุกวันและอยู่ต่างจังหวัด ต้องเดินทางไปมาระหว่าง “จันทบุรี-กรุงเทพฯ จึงเป็นอุปสรรคในการรับงานจึงรับได้แค่ช่วงเสาร์ อาทิตย์เท่านั้น
ลูกค้าต้องมีการจองคิวล่วงหน้า ซึ่งปัจจุบันราคาการแต่งหน้าของน้องสำหรับแต่งหน้าเจ้าสาวเริ่มต้นที่ 8,500 บาทต่อครั้ง ส่วนงานรับปริญญาเริ่มต้นที่ 2,500 - 3,000 บาท

โอกาสที่ใครก็หาได้ไม่ง่ายจากงาน London fashion week 2018

นับเป็นโชคชะตาของน้องแพรที่ก่อนหน้านั้นคุณพ่อ คุณแม่ส่งไปเข้าคอร์สเรียนแต่งหน้าที่อังกฤษเมื่อเดือนตุลาคมปี 2560 เป็นคอร์สสั้นๆ เพียงแค่ สัปดาห์ แต่ก็กลายเป็น โอกาส” ครั้งสำคัญ เมื่อครูผู้สอนได้ชักชวนให้ร่วมแต่งหน้าให้กับนางแบบในงาน London Fashion Week น้องแพรจึงตอบตกลงแบบไม่ลังเลใจและได้กลายเป็นเมคอัพอาร์ทิสต์น้อยชาวไทย อายุน้อยที่สุดเพียงคนเดียว ท่ามกลางเมคอัพอาร์ทิสต์ชาวฝรั่ง 
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ คุณแม่เสริมว่า การที่ส่งให้น้องไปเรียนแต่งหน้าตั้งแต่น้องอายุยังน้อย เพราะความชื่นชอบในการแต่งหน้า แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรค และด้วยความรับผิดชอบเกินวัย ในช่วงเสาร์ อาทิตย์หลังทำการบ้านเสร็จ แม่ก็จะขออัดคลิป น้องจะกำหนดงานของตัวเองอยู่อย่างสม่ำเสมอไม่เคยหยุดว่าวันนี้จะแต่งโทนฟ้าโทนม่วง แต่งหน้ารับปริญญา ลุคเกาหลี
น้องจะมีพัฒนาการตลอดเวลา แล้วเรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่ตลอดเวลา เขียนคิ้วดีขึ้น กรีดอายไลเนอร์ไม่เละ แม่เองไม่เคยบังคับไม่เคยยุ่งเลยว่าน้องแพรต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ ส่วนเรื่องผลการเรียนเป็นสิ่งที่ครอบครัวเน้นอยู่แล้วและผลการเรียนของน้องก็ยังดีได้เกรด 4 มาตลอด รับผิดชอบเองทุกอย่าง และนี้คือสาเหตุที่แม่ตัดสินใจพาเขาไปเรียนแต่งหน้าเสริม

วิธีทำคลิปสร้างรายได้ในวัยเยาว์

ถ้าเป็นเรื่องลุคการแต่งหน้าแพรจะเป็นคนคิดเอง แต่ต้องดูเทรนด์ในตอนนั้นด้วย เน้นให้ดูสนุกๆ ไม่น่าเบื่อให้คุยเล่นๆ แบบไม่ซีเรียสมาก ส่วนไอดอลของแพรที่เป็น Beauty Blogger ก็จะมีพี่แพรี่พาย โมเมพาเพลิน พี่อาชิพวกๆ พี่เขาเป็นทั้งไอดอลและเป็นแรงบันดาลใจ
คุณแม่ช่วยเสริมว่าการทำรายได้ในยูทูบส่วนใหญ่จะเป็นโฆษณา ซึ่งส่วนมากจะเป็นสินค้าเด็ก เป็นขนม กลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่น โดย Google จะเป็นผู้ดูแลให้เหมาะสมกับช่องและกลุ่มผู้ชม ซึ่ง Google ช่วยแนะนำ และต่อยอดเพื่อพัฒนาคอนเทนต์ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
น้องแพรบอกว่ารายได้จากการทำคอนเทนต์นี้อยู่ในบัญชีของแพรทั้งหมดที่คุณแม่เปิดไว้ให้ แพรรู้สึกดีใจที่สามารถหารายได้มาเก็บออมไว้ ไม่ต้องใช้เงินของพ่อแม่ นอกจากนี้ ล่าสุดน้องแพรได้นำรายได้ส่วนหนึ่งมาช่วยคุณพ่อ คุณแม่ดาวน์รถใหม่คันงามมาใช้ในครอบครัวได้อย่างสบายๆ

ที่มาแฟนคลับร่วม 3 แสนคน  

ด้วยความตั้งใจและรักในการแต่งหน้าอย่างแท้จริงของน้องแพร ส่งผลให้มีแฟนคลับมากมายตั้งแต่วัยรุ่น วัยทำงาน คนสูงวัย ก็ล้วนเป็นแฟนคลับของเธอ รวมถึงแฟนคลับชาวต่างชาติ จะเห็นได้จากเวลาที่เธอพูดภาษาอังกฤษลงในคลิป มักจะมีชาวต่างชาติมาร่วมพูดคุยร่วมคอมเมนต์ในเพจเป็นจำนวนมาก มีทั้ง อาหรับโมร็อกโก ฟิลิปปินส์ ส่งผลให้น้องแพรได้มีโอกาสที่หลากหลายมากขึ้นในการเรียนรู้และสื่อสารผ่านคนได้ทั่วโลก ผ่าน YouTube เวลาเดินทางไปไหนมาไหนก็มักจะมีคนมาขอถ่ายรูป
จากกระแสตอบรับเหล่านี้ทำให้แพรมีกำลังใจและตั้งใจว่าจะทำคลิปให้บ่อยขึ้น ตัดคลิปให้สนุกขึ้นเพราะเวลาคลิปออกมาจะได้ดูไม่น่าเบื่อ เพื่อดึงให้คนเข้ามาดูเพิ่มขึ้น
ถึงแม้บางครั้งจะเหนื่อยจะท้อไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นเหมือนเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน แต่ด้วยความรักและความทุ่มเททำให้น้องลุกขึ้นมาทำคลิปต่อเนื่อง และยังมีความคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตรวมทั้งเป็นอาชีพสำหรับเธอไปแล้ว

แรงผลักดันที่ดีในชีวิตของสาวน้อยวัย 12 ปี

น้องแพรพูดอยู่เสมอว่าจากคอมเมนต์ในโซเชียลเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ได้กลายเป็นแรงผลักดันที่ดีเยี่ยมให้เธอมีกำลังต่อสู้ และต้องทำให้เขาเห็นให้ได้ว่าเราทำมันได้จริงๆ นอกจากนี้ทางครอบครัวคุณก็ช่วยสนับสนุนตลอด คอยดูงานให้ หางานให้ คอยหาทีมตัดต่อมาช่วยดูแล ส่วนคุณพ่อก็เป็นคนคอยขับรถมาให้ ซึ่งถ้าแพรท้อและเลิกทำตั้งแต่วันนั้นก็จะไม่มีวันนี้

จุดมุ่งหมายในอนาคต

คุณแม่ได้วางแผนไว้ว่าอยากให้น้องแพรไปเรียนต่อที่อเมริกา เพราะที่นั่นมีหลายอย่างที่น้องชอบและสามารถเลือกเรียนได้หมดเลย ไม่ว่าจะเรียนด้านบิวตี้ แฟนซี เอฟเฟกต์ หรือเรียนปั้น เพื่อเอามาต่อยอดเป็นอาชีพได้ในอนาคต สำหรับตัวน้องแพรเอง เธอใฝ่ฝันอยากจะเป็น make up artist ถ้ามีโอกาสก็อยากไปแต่งหน้าเมืองนอก งานฮอลลีวูด งานเมืองคานส์ อยากก้าวเข้าไปสู่เวทีเมคอัพระดับโลก.

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ศิลปะแห่งความภูมิใจ ของ ชูศิษฐ์ วิจารณ์โจรกิจ

ศิลปะแห่งความภูมิใจ ของ ชูศิษฐ์ วิจารณ์โจรกิจ

April 23, 2019
by พิมพ์พัดชา กาคำ
ชูศิษฐ์ วิจารณ์โจรกิจ ผู้สร้างผลงานแฝงสไตล์ความเป็นไทยจนได้รับการยอมรับไปทั่วโลก การันตีฝีมือด้วยการคว้ารางวัลชนะเลิศการประกวดวาดภาพลายเส้นจาก "อเมริกัน อาร์ติสต์ แมกกาซีน" ที่ได้รับการยอมรับในแวดวงศิลปะมานานกว่า 70 ปี

HIGHLIGHTS

  • ชูศิษฐ์ วิจารณ์โจรกิจ ศิลปินไทยคนแรกที่ได้เป็น 1 ใน 7 ศิลปินร่วมแสดงผลงานในนิทรรศการ Painting from the Past ที่จัดโดย The Metropolitan Museum of Art ที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
  • ได้รับทุนจาก Leslie T.Posey Foundation ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่ New York Academy of Art ประเทศสหรัฐอเมริกา
  • คิวเรท นิทรรศการ ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ และพระผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งแผ่นดิน ถวายเป็นพระราชกุศล แต่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยรายได้ส่วนหนึ่งสมทบทุนมูลนิธิอานันทมหิดล
  • ศิลปินไทยคนแรกที่สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศที่ 1 จากการประกวดวาดภาพลายเส้น "อเมริกันอาร์ติสต์ แมกกาซีน"
  • ได้รับเกียรติจากกองประกวดมิสยูนิเวิร์ส บริษัท TPN2018 ให้สร้างสรรค์สัญลักษณ์ที่ใช้ในการประกวด "มิสยูนิเวิร์ส 2018" ที่จัดขึ้นในประเทศไทย
ศิลปินผู้รังสรรค์งานศิลปะที่น่าจับตามองแห่งยุค ชูศิษฐ์ วิจารณ์โจรกิจ เปิดบ้านให้เข้าชมผลงานที่เขาภาคภูมิใจ พร้อมทั้งได้ชมของสะสมที่มีคุณค่าต่อจิตใจ มากมายหลายชิ้น โดยเฉพาะ ผลงานรีโปรดักชั่นของ ศิลปิน Rembrandt ชื่อภาพ Portrait of Herman Doomer ที่เขามีโอกาสได้เข้าไปวาดรีโปรดักชั่นในพิพิธภัณฑ์ The Metropolitan Museum of Art ณ นคร New York
1.
                กล่าวถึง “คุณป๋วย-ชูศิษฐ์” หลังจากไปศึกษาต่อปริญญาโท ที่ New York Academy of Art ศึกษาด้านเทคนิคการวาดภาพแบบโบราณของยุโรป เพื่อการถ่ายทอดผลงานออกมาได้ล้ำลึกยิ่งขึ้น
                “ผมเป็นคนที่ชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็ก ชอบอะไรที่มีประวัติศาสตร์ มีความเป็นมา ชอบความมีรากเหง้าของวัฒนธรรม เชื่อว่ามนุษย์สร้างอะไรขึ้นมาต้องมีคุณค่ามีความพิเศษอยู่แล้ว ก็เลยอยากจะไปทำความเข้าใจ เพราะเราทำงานทางด้านพอร์ทเทรต (Portrait) เราอาจจะเห็นผลงานของศิลปินระดับมาสเตอร์พีช เรารู้ว่าอันนี้คือมิติความงาม ที่มีความล้ำลึกอยู่ภายใน แต่เราอาจจะไม่เข้าใจมากพอ เพราะเป็นงานศิลปะแบบยุโรป ขณะที่เราเป็นคนเอเซีย เรียนยังไงก็ไม่ลึกซึ้งเท่าไปสัมผัสจริงๆ ทำให้ผมคิดว่าต้องก้าวไปอีกสเต็บหนึ่ง เพื่อไปเรียนต่อที่นิวยอร์ก พอไปเรียนก็ได้เปิดโลกทรรศน์จริงๆว่า อ๋อ ที่เรายังไม่เข้าใจคืออะไร”
                ในวิชา Painting and Drawing at the Met เขาได้มีโอกาสเลือกวาดรูปต้นแบบของศิลปินระดับโลกในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ผลงานชิ้นนี้จึงยากยิ่งกว่านั่งวาดคนจริงๆ เพราะต้องศึกษาวิเคราะห์เทคนิคเบื้องลึกจริงๆ ของศิลปินต้นแบบว่าเขามีขั้นตอนและเทคนิคอย่างไร รวมทั้งการผสมสี การใช้กระดานไม้อะไร  ใช้น้ำยาอะไรในการผสมสี อารมณ์ภาพเป็นแบบไหน ก่อนจะออกมาเป็นผลงานภาพชิ้นนี้จึงยากมาก
2.
                “ขั้นตอนในการวาดทุกจังหวะจะผิดขั้นตอนไม่ได้เด็ดขาด ถ้าผิดขั้นตอนเมื่อไหร่นั่นหมายถึงคุณพลาด ยากกว่าวาดอิสระที่มีแบบนั่งอยู่ตรงหน้า แล้วเราก็แค่วาดให้เหมือนโดยใช้เทคนิคส่วนตัว อันนี้นอกจากจะวาดให้เหมือนแล้วเทคนิคทุกขั้นตอนต้องเหมือนอีกด้วย  สีแต่ละเลเยอร์ต้องถูกต้องและสวยขึ้นมาทุกชั้น การวาดอยู่ในมิวเซียมที่ใหญ่มากๆ มีคนมามุงดูตลอดเวลา มีชาวต่างชาติมาถามเราตลอดเวลา ต้องมีความแม่นยำ ไม่ต่างจากการวาดสด พิสูจน์ฝีมือให้คนทั้งหมดที่มามุงดูเรา รูปนี้ผมใช้เวลาวาด 6 เดือน  เข้าไปมิวเซียมอาทิตย์ละวัน  ใช้เวลาครั้งละ 3-4 ชั่วโมง พอเขาจะจัด Exhibition ที่ The Met ผมก็ได้รับเกียรติเป็น 1 ใน 7 ศิลปินที่จัดแสดงงานมีคนมาดูเยอะมาก ตอนที่ผมทำงานมีคนของเขามาแอบถ่ายรูปตอนที่ผมทำงานแล้วเอาไปลงภาพปกของโบชัวร์ ที่ใช้แจกนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไป ถือว่าได้รับเกียรติมากๆ และถือว่าเป็นเทิร์นนิ่งพอยท์ของชีวิตผม เพราะเราเข้าไปศึกษาจริงจังได้รับความรู้เพิ่มเติมในการทำผลงานชุดต่อๆไป”
2019-04-10-15-54-39
                   ภาพของ ศิลปิน Rembrandt  ในศตวรรษที่ 17 ที่คุณป๋วยต้องวาดลงบนแผ่นไม้ตามต้นแบบอย่างไม่มีผิดเพี้ยน จำเป็นต้องมีกรอบรูปไม้สไตล์ดัตช์ ใกล้เคียงกับภาพจริงที่อยู่ภายในพิพิธภัณฑ์ ถือว่าเป็นโจทย์ที่ต้องตามหาให้เจอ ในที่สุดก็หาได้จากร้านขายกรอบรูปแอนทีค ที่เขารับทำกรอบรีโปรดักชั่นให้กับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้พอดี ถือว่าโชคดีมาก เป็นกรอบไม้เนื้อแข็งแกะสลักสไตล์ดัตช์ (หนักประมาณ 10 กิโลกรัม ขนกลับเมืองไทยมาด้วยหลังเรียนจบ)ใกล้เคียงกับในพิพิธภัณฑ์ เป็นภาพที่มีคนขอซื้อเยอะมาก ทว่าเขาไม่ยอมขาย เพราะเป็นผลงานที่รักและมีความหมายต่อเขาอย่างสุดซึ้ง
ขาตั้งไม้โอ๊ค ย้อน ศตวรรษที่ 19 (Oak Ralph Lauren Londole Artist’seasel) เป็นอีกหนึ่งของสะสมที่ใช้งานได้จริงที่เขารักและภูมิใจที่ได้ครอบครอง
                “ขาตั้งตัวนี้ซื้อที่เมืองไทยเป็นไม้โอ๊คแท้มีระบบแมคคานิค ตัวจับที่หมุนเป็นทองเหลือง ระบบการเคลื่อนตัวทำตามแบบขาตั้งยุคศตวรรษที่ 19 ชอบมากๆ เพราะตอบโจทย์การทำงาน สามารถวาดผลงานชิ้นใหญ่ๆได้ เลื่อนขึ้นเลื่อนลงได้ 2 ระบบ เลื่อนต่ำสุดเกือบพื้นได้ แล้วเลื่อนโน้มตัวมาข้างหน้าได้ ถ้าแสงเปลี่ยนเวลาเราวาดสีน้ำมันแสงมันจะสะท้อนเข้าตา เราก็เลื่อนโน้มลงมาจะช่วยตัดแสงได้ ก่อนหน้านั้นผมมีขาตั้งอีกตัวซื้อตอนได้ทุนไปเรียนที่เยอรมนีเป็นของ MABEF เมดอินอิตาลี”
2019-04-10-15-58-53
                กระจกกรอบไม้แกะสลักโบราณ ซื้อตอนเรียนที่นิวยอร์ก วิชา Painting  อาจารย์ให้นักเรียนไปหาต้นแบบตามหัวข้อต่างๆ ด้วยความที่เป็นคนชอบของเก่า มีประวัติศาสตร์  เขาจึงไปเดินหาตามร้านขายของแอนทีค ได้กระจกไม้แกะสลักโบราณปิดทอง สิ่งของต้นแบบในการเรียนวาดรูปครั้งนั้นจึงมีทั้งกระจกไม้แกะสลักโบราณ
2019-04-10-16-03-24
และ  รูปวาดผู้หญิง Ivory Portrait Miniatures เป็นงานวาดภาพพอร์ทเทรตเขียนสี Qouache และ  watercolor ลงบนงาช้าง
                “ชอบผลงานสองชิ้นนี้มาก (รูปผู้หญิง)เพราะดูจากผลงานแล้วอาร์ติสต์มีฝีมือ  เนื่องจากเป็นงานที่มีขนาดเล็กมาก เขาสามารถเก็บรายละเอียดได้ดีและสวย   ศิลปะตะวันตกก็จะมีผลงานแบบนี้ในมิวเซียมเยอะ ส่วนใหญ่ใช้สีกวอซ และสีน้ำ มีเทคนิคการลงยาบ้าง มีความละเอียดลออ  เป็นงานเก่า ของสะสมของผมจะเป็นแหล่งความรู้ที่เราเอามาใช้ในงานสร้างสรรค์ของเราด้วย ศิลปินรุ่นก่อนๆเขาทำงานอย่างไร มีการพัฒนาอย่างไร  เราก็ต้องศึกษาเอาไว้ เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่ในเส้นทางอาชีพที่เรารัก ทุกอย่างจะหล่อหลอมอยู่ในตัวของเรา”
7.
                อีกมุมหนึ่งของบ้านมี ตู้หนังสือไม้มะฮอกกานี ออกแบบสวยงามด้านในบรรจุไว้ซึ่งหนังสือและตำราเก่าที่เขารักและหวงแหนมีทั้งหนังสือด้านงานศิลปะ เครื่องประดับ หนังสือพระมหาชนก รวมไปถึงผลงานมาสเตอร์พีชของศิลปินดังหายาก ฯลฯ ถือว่าเป็นแหล่งความรู้ที่เขาสะสมไว้ตั้งแต่เด็ก บางเล่มมีลายเซ็นต์ของอาจารย์ที่เขาเคารพรัก
6.
นอกจากนั้นก็มี ผลงานรูปปั้นบรอนซ์โบราณ (Bronze)  อายุกว่าร้อยปียุค Art Nouveau และ Art Deco
2019-04-10-16-00-48
3.
                “ตุ๊กตาพอร์ชเลน(Porcelain)  ของอังกฤษคู่นี้ผมได้มาตั้งแต่สมัยที่เรียนจบใหม่ๆ แต่ซื้อที่เมืองไทยได้จากร้านขายของแอนทีค เจ้าของร้านเขามีร้านอยู่ที่อังกฤษด้วย  ผมเอาไว้ศึกษาดูวิธีเคลือบสี ดูรายละเอียด  ปกติผมจะทำงานปั้นด้วย ผลงานของศิลปินเหล่านี้ก็เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานของเรา  ของที่ผมซื้อบางทีไม่ได้ซื้อเพราะชื่อเสียงของศิลปิน  ซื้อเพราะชอบในผลงาน รายละเอียดของงานชิ้นนั้นจริงๆ บางทีซื้อแล้วเอากลับมาดูปรากฏว่าเป็นผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงก็มี ผมยังสะสมพวกอุปกรณ์การวาดรูป  พู่กัน  สี ฯลฯ เฟอร์นิเจอร์ โต๊ะเขียนแบบสไตล์โบราณ  ถือว่าเป็นของสะสมที่ใช้งานได้จริง”
2019-04-10-15-57-43
                ศิลปินอนาคตไกลกล่าวทิ้งท้ายว่า ของทุกชิ้นที่เขาครอบครอง เสมือนเป็นแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ผลงานศิลปะ ที่ช่วยหล่อหลอมความเป็นตัวตนของ ชูศิษฐ์ วิจารณ์โจรกิจ เมื่อเห็นสิ่งของที่เขาเก็บสะสมไว้ ทำให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตแล้วมีความสุข แสนภาคภูมิใจ     

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2562

กอล์ฟ วงศกร CG พลิกชีวิตสู่ฮอลลีวูด

“ผมไม่ค่อยกลัวที่จะลอง อย่างน้อยถ้ามันไม่ได้ เราได้เรียนรู้” กอล์ฟ วงศกร CG พลิกชีวิตสู่ฮอลลีวูด

เผยแพร่:    ปรับปรุง:    โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สุดเจ๋ง! ฝีมือคนไทย “กอล์ฟ-วงศกร จินบุญยโชติ” จากเด็กที่ดูหนังกลางแปลงต่างจังหวัด ตัดสินใจไม่เรียนต่อ เพื่อก้าวตามฝันทำงานระดับฮอลลีวูด ล่าสุดทำ CG ภาพยนตร์ดัง "Aquaman” มหากาพย์หนังฮีโร่ของค่าย ดีซี ที่เพิ่งทำรายได้อย่างมหาศาล


ตัดสินใจไม่เรียนมหา'ลัยมุ่งเข้าหาฝัน!!


“ยินดีต้อนรับสู่...ลูคัสฟิล์ม” ใครจะไปคิดล่ะว่าภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ อควาแมน เจ้าสมุทร (Aquaman) มหากาพย์หนังฮีโร่ของค่าย ดีซี ที่เพิ่งทำรายได้อย่างมหาศาลไปนั้น CG (computer graphics) ส่วนหนึ่งถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือหนุ่มไทย “กอล์ฟ-วงศกร จินบุญยโชติ” ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เขาจะถูกยอมรับ และผ่านเข้ามาทำหนังระดับฮอลลีวูด
กอล์ฟได้เล่าเรื่องราวชีวิตเมื่อเปิดอีเมลเห็นข้อความจากบริษัทชื่อดังที่เขาใฝ่ฝันที่อยากเข้าไปทำงานด้วยแววตาที่ดีใจ และได้ฉายภาพวัยเด็ก เมื่อ20ปีก่อนให้ฟัง ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะมีวันนี้ วันที่เข้าไปทำงาน และทำตามความใฝฝันให้สำเร็จ จนได้เป็นเบื้องหลังให้กับภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง ได้แก่ The Great Wall , Ready Player One ,Transformers , Avenger : Infinity War และล่าสุด Aquamanที่ทำให้คุณกอล์ฟเป็นที่รู้จัก ทั้งคนไทย และในโซเชียลฯ เพราะได้โพสต์ภาพพาพ่อแม่ไปดู จนมีการแชร์และพูดถึงมากมาย
 

[พาพ่อ และแม่มาดูผลงานของตนเอง]  
ย้อนกลับไปตอนนั้นเขาได้มีโอกาสดูหนังกลางแปลงในเรื่อง "คนเหล็ก ภาค2” ด้วยความสงสัย และสนใจกับสิ่งที่ได้เห็น หลังจากนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาได้หันมาคลุกคลี สนใจงานเบื้องหลังมากขึ้น และได้ก้าวเข้ามาทำCGจนถึงปัจจุบัน
“มันเริ่มจากสมัยเด็กๆ มันมีภาพยนตร์เรื่อง คนเหล็ก ภาค 2 แต่สมัยนั้นตามต่างจังหวัดเป็นหนังกลางแปลง สมัยนั้นเราก็ดูแล้วเราก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่รู้จักว่าคืออะไร มันมีตอนที่เหมือนว่าเป็นตัวโกง หลอมกลายเป็นคน เราก็คิดว่ามันมหัศจรรย์มาก ใครที่ทำได้แบบนั้น เราก็คิดว่าเขาคงมีวิธีทำเหมือนทำจากของจริงอะไรอย่างนี้ 
เราได้มีโอกาสดูเบื้องหลัง ก็นั่งดูทีวี นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้รู้ว่ามีการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยสร้าง คือเราก็ได้รู้จักบริษัท Industrail Light & Magic  ที่ผมทำจนถึงทุกวันนี้ พอผมรู้ว่าต้องใช้คอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมชอบหนังประเภทนี้ แล้วก็ติดตามดูเบื้องหลังเขา”

ด้วยเหตุผลที่ว่าได้เห็นการทำงานด้าน CG สเปเชียลเอฟเฟกต์ (Special Effect ) จากเฉยๆ กลายเป็นความฝันหนุ่มชาวอุดรฯรายนี้ เขาจึงให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้มากเป็นพิเศษ ติดตามไปถึงเบื้องหลังการถ่ายทำ วิธีทำงานของเขา เริ่มไปเรียนแบบจริงจัง และเลือกสอบเอนทรานซ์เข้าสาขาที่เปิดใหม่ในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
“ตอนที่ม.ปลายที่ต้องเลือกสายคือ เลือกวิทย์คณิต แต่ว่าก็ตกวิทย์คณิตหมดเลย ตอนนั้นก็มีปัญหาช่วงการเรียน แต่ก็โชคดีไปตอนนั้นเขามีเอนทรานซ์ เขามีการเปิดคณะเกี่ยวกับพวกมัลติมีเดียแอนิเมชัน ทางภาคอีสานพอดี ผมก็สอบเอนทรานเข้าปกติ แต่ด้วยความเป็นรุ่นแรกอาจจะยังคนรู้จักไม่มาก ด้วยคะแนนเราไม่เยอะ แต่เราก็สามารถเอนทรานซ์ติดเข้าไปได้ ซึ่ง ณ ตอนนั้นก็คือเป็นสาขาสื่อนฤมิต
ตอนนั้นไม่ค่อยยาก เพราะว่าคู่แข่งน้อย เราก็เลือกมา รู้ว่าเขาเปิดก็รีบเลือกแล้วคะแนนอาจจะไม่สูงมาก แต่ก็ได้เข้าไปเรียน เริ่มเข้าไปรู้จักกับโปรแกรม 3D แล้วก็ลองทำจริงๆ ตอนที่ได้เรียนที่นี่คือมีอาจารย์ช่วยแนะนำ ตอนนั้นเริ่มแรกก็ใช้พวกโปรแกรม Maya เป็นโปรแกรมสำหรับช่างแอนิเมชัน  พื้นฐานที่ทุกคนต้องเรียน แล้วก็ใช้เวลาอยู่นั่น 2 ปี คือปี 1 และปี 2 ก็เรียนในคลาส แล้วก็กลับมาห้องก็ไปยืมหนังสือ คือสมมุติมีหนังสือที่มาจากต่างประเทศอะไรอย่างนี้ คือสมัยก่อนไม่ได้มี Youtube หรือว่ามีออนไลน์เหมือนสมัยนี้”
เรียนรู้ ฝึกฝนทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน เวลาว่างเขามักหาความรู้โดยเข้าห้องสมุด แต่ถึงอย่างไรหนึ่งในปัญหาที่เขาเจอในเรื่องการเรียนคือ เขายังสอบติด F เกี่ยวกับวิชาพวกprogramming จึงตัดสินใจลาออก ไปเรียนเฉพาะทาง ทั้งๆ ที่เรียนเข้าสู่ปีที่ 2 แล้ว
“ผมมีปัญหาเรื่องการเรียน ผมยังสอบตกพวกคำนวน ก็ติด F ติดอะไรเกือบทุกเทอม เกี่ยวกับวิชาพวก programing ก็คือรู้สึกว่า เราน่าจะเหมาะกับเราเรียนเฉพาะทางมากกว่า
ถ้าเราตัดสินใจเรียนต่อไม่น่าต่ำกว่า 6 ปี เราได้ประเมินแล้วเวลาใน 4 ปีนี้เราไปเรียนเฉพาะทางเรียนเป็นคอร์ส แล้วก็ไปหาประสบการณ์เรียน กับการทำงานจริง เรียนกับคนที่เขาทำงาน ในไทยเก่งๆ เยอะ ตามบริษัทอะไรอย่างนี้นะครับ ผมก็เลยอธิบายกับคุณพ่อ คุณแม่ สุดท้ายท่านก็เข้าใจ”


 “ผมไม่ค่อยกลัวที่จะลอง อย่างน้อยถ้ามันไม่ได้ เราได้เรียนรู้”
 

[Aquaman ภาพยนตร์สร้างชื่อ]
“ไปสมัครงานที่ไหนต้องมีวุฒิ ตอนนั้นเราลืมคิดเรื่องนี้ไป” เมื่อได้ออกจากมหา'ลัยได้ตัดสินใจไปลงเรียนที่โรงเรียนแอนิเมชันแห่งหนึ่ง โดยลืมคำนึงว่าหากไม่ได้งานที่เราต้องการ ถ้ายังคงอยู่ที่ประเทศไทย แน่นอนไม่มีบริษัทไหนรับเข้าทำงาน
ด้วยงานที่เกี่ยวกับด้านที่อยากทำไม่มีใครมอบโอกาสให้ สุดท้ายเขาได้ตัดสินใจเข้าไปทำกราฟิกทีวีกับเพื่อน เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตประจำวันโดยได้เงินวันละ 400 บาท หลังจากที่ทำกราฟิกทีวี และได้ประสบการณ์พอที่จะทำให้เขาไปต่อ กอล์ฟได้ลาออกเพื่อเข้าไปทำงานกับบริษัทเกมแห่งหนึ่ง
“ที่นี่เป็นที่ที่เขาก็ให้โอกาสและช่วยเหลือเรา เพราะที่อื่นเขาก็ไม่รับ ผมมองว่ามันมีค่า ณ ตอนนั้น หลังจากนั้นผมก็คิดว่าถึงเวลาที่จะหางานใหม่ พอเราได้ประสบการณ์บ้างจากงานตรงนี้ ผมก็ได้ไปสมัครงานทำเกมแห่งหนึ่งชื่อVirus studio
ทำพอร์ตส่งปกติ ทำพอร์ตพวกEffect ,3D รวมกันไปแล้วให้เขา บอกว่าอยากทำ Effect ตอนนั้นก็ไปสัมภาษณ์แล้ว แต่พอเขาดูผลงานเขาก็บอกว่าพอร์ตไม่ค่อยถึงเท่าไหร่เฉยๆ สำหรับเขา ผมก็เลยคุยกับเขาว่า อยากให้ทำอะไรที่รู้สึกว่ามีความเกี่ยวข้องกับงานที่เขาต้องหาคนอยู่ เขาก็บอกเลยว่าทำระเบิดมาให้ดูได้ไหม เขาบอกขอแค่นั้น ผมก็เลยตอบไปว่าได้ เลยผมตอนนั้นก็คิดว่า มันไม่มีอะไรจะเสียก็เลยกลับไปแล้วทำมา ปรากฎว่าเขาเห็นแล้วเขาก็โอเคเลยได้งานมา”
หลังจากที่ทำเกี่ยวเกม 2 ปี แล้ว กอล์ฟในวัย 24 ปี ณ ตอนนั้น เขาก็คิดว่าชีวิตได้ใกล้เคียงขึ้นกับสิ่งที่ต้องการจะทำมากขึ้นเรื่อยๆ ก็มีบริษัทหนึ่งเปิดขึ้นมาซึ่งเป็นบริษัทที่ทำหนังเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งหน้าที่ที่เขาได้รับคือการสร้างตัวละคร สร้างคาเเร็กเตอร์ให้เคลื่อนไหว ให้มีมิติ
“ผมได้เข้าไปทำภาค 3 ตอนนั้นภาค 1 ภาค 2 เขาไปจ้างบริษัทอื่นทำ พอภาค 3 ก็ได้กลับมาทำตอนนั้นผมได้เข้าไปทำในตำแหน่ง ทำ 2 อย่าง ทำพวกEffactก็คือพวก ฝุ่น ควัน ระเบิด ธนู แล้วก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ผมจำเป็นต้องทำด้วยก็คือ คราวตรูเมชัน การสร้างกลุ่มตัวละครเหมือนกับการสู้รบกัน
โดยปกติแล้วสมัยก่อน ก่อนจะมีเทคนิค เขาก็จะมีการถ่ายคนเป็นกลุ่ม แล้วก็เอามา copy ในโปรแกรมซ้อนกันไปแต่เดี๋ยวนี้มันพัฒนาไปแล้ว มันมีเทคนิคที่สามารถทำให้เราปลอมแปลงคนได้ สามารถคนให้ไปเจอคนฝ่ายตรงข้ามได้ ให้ฟัน ให้ฆ่า ก็เลยจำลองว่ามันคิดยังไง แล้วก็ลงในโปรแกรม คล้ายๆ กับในเกมเวลาที่เราลง AI แต่ว่าถูกใช้อารมณ์ ความรู้สึก ละเอียดกว่าในเกม มันจะทำให้ออกมาเหมือนจริงกว่า”
ทั้งๆ ที่ความฝันใกล้ความเป็นจริงขึ้นทุกที แต่เขาก็ได้ลาออกจากการทำ CG ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งของไทยที่ทำเกี่ยวกับภาพยนตร์หันไปทำโฆษณา ซึ่งไม่ใช่ทางความฝันที่เขาอยากจะเอื้อม แต่เป็นเพราะหากเขาได้เรียนรู้ทุกๆ ด้าน และมันสามารถเพิ่มทักษะให้เขาแกร่งขึ้นกว่าเดิม
 

อย่างภาพยนตร์อาจจะใช้เวลา 1- 2 ปี ได้ แต่งานโฆษณาต้องใช้เวลาเพียงแค่ 1 อาทิตย์เท่านั้น มันก็ทำให้ชีวิตกอล์ฟท้าทายมากยิ่งขึ้น เพราะงานโฆษณาจะต้องทำให้เสร็จภายในเวลาไม่กี่วัน เขาจึงตัดสินใจลาออกอีกครั้ง เพื่อรวบรวมไปยังฮอลลีวูดบริษัทที่เขาอยากทำตั้งแต่แรกเริ่ม
“หลังจากที่ผมทำงานโฆษณามามันก็มีจุดหนึ่งที่คิดว่าแบบเมื่อไหร่เราจะได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ เหมือนเราทำเพื่อบางช่วงของชีวิต เราพยายามแล้วแต่ว่ามันยังไม่ได้ถึงเป้าหมายเรา เราก็ต้องหาอะไรที่หล่อเลี้ยงชีวิตไปก่อน พอมาถึงจุดหนึ่งเรารู้สึกว่าแบบมันพออยู่ได้แล้ว พอมีเงินเก็บบ้างเราก็เลยตัดสินใจส่งผลงานที่เรามีนี้แหละครับ ที่เราทำในไท เรารวบรวมส่งไปยังฮอลลีวูด 
ในรอบนี้ไม่มีที่ไหนตอบกลับเลย คือได้รับแต่พวกอีเมลที่ตอบมาอัตโนมัติ เลยรู้ว่างานของเราไม่ถึง เราก็กลับมาพัฒนางานของตัวเอง แล้วก็มีผลงานอย่างหนึ่งที่เราอยากทำ และเราทำได้เหมือนกัน ก็คือการทำ คราวตรูเมชัน เราอยากให้มันแบบเหมือนในเรื่องลอร์ดออฟเดอะริงเลย ก็คือเราต้องทำคนเดียว ณ ตอนนั้น เราก็หยุดงาน หยุดอะไรหมดเลย แล้วใช้เวลาประมาณ 4 เดือนเพื่อทำผลงานช็อตลอร์ดออฟเดอะริง นะครับ 
พอทำเสร็จผมก็ส่งอีเมลผลงานตัวนี้ไปหา คุณสตีเว่น เขาคือคนที่คิดค้นซอฟท์แวร์ในการทำกองทัพในเรื่อง ลอร์ดออฟเดอะริง
แต่ว่าตอนนั้นเขาเข้ามาเปิดบริษัทในไทย ซึ่งผมเคยเจอเขาตอนที่ได้ทำภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร ตอนนั้นเขาได้เข้ามาช่วยดูด้วย ผมส่งไปปรึกษาเขาว่าผมส่งไปแล้วแบบไม่ทราบว่าคุณมี บริษัทที่ทำด้านนี้อีกมั้ย เพราะผมไม่ได้รับการตอบรับเลย เขาก็เลยดูผลงาน และเรียกเข้าไปคุยกันก่อน เขาบอกให้เข้าไปทำกับเขาก่อน”
จากการชักชวนทำให้เขาได้ปลี่ยนเส้นทางมาทำบริษัทซอฟต์แวร์ เพื่อการสร้างหนังในฮอลลีวู ดซึ่งใกล้ความจริงที่เขาตั้องการขึ้นเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่ทำคือการผลิตเพื่อให้หนังฮอลลีวูดนำไปใช้
“แต่มันก็มีจุดหนึ่ง เราทำได้ประมาณ 2 ปีกว่า เราได้ข้อความจาก HR ของบริษัท Industrail Light & Magic เขาก็มาถามว่าคุณรู้จักใครที่ทำด้านนี้ไหม เรากำลังหาคนอยู่
แล้วเขาถามว่าผมคิดยังไง ผมก็อยากลองสมัครนะ แต่ตอนนั้นผมพูดไปก็ไม่ได้คิดอะไร เขาก็บอกว่าส่งผลงานมาได้ไหม ก็ส่งที่เราทำไป ตั้งแต่ที่เราทำแรกๆ ส่งไปจากนั้นเขาก็ตอบกลับมาเลย งั้นเราจะให้คุณสัมภาษณ์นะ ตอนนั้นก็ตกใจครับ ไม่รู้ว่าเขาพูดจริง หรือพูดเล่น เพราะเราไม่เคยได้รับการสัมภาษณ์ไม่รู้ขั้นตอนมัน
กลายเป็นว่าอีก 2-3 วันถัดมาเราต้องสัมภาษณ์ ภาษาอังกฤษตอนนั้นก็ไม่ค่อยได้ เราก็ใช้วิธีจดเอาแล้วก็ท่อง พอถึงเวลาสัมภาษณ์ก็สัมภาษณ์ไป แล้วสื่อสารกับเขาไม่รู้เรื่อง แต่โชคดีอีกอย่างหนึ่งก็คือมีพี่ที่ทำอยู่แล้วเป็นคนไทยอยู่ ตอนนั้นเขามาช่วยแปลให้ แล้วเขาก็เข้าใจ เหมือนกับว่ายอมรับเราได้ เขาก็ถามมาเรื่อย ถามข้อมูลมา จนกระทั่งได้อีเมลอีกครั้งถึงรู้ว่าอ้าวได้แล้ว ก็ตกใจว่าอ้าวนี่มันได้แล้วเหรอ”


ชอบในสิ่งใด..ไปให้สุด
 
[The Great Wall เรื่องแรกที่ได้มีโอกาสทำ]

หลังจากที่ล้มเหลวกับการส่งผลงานแล้วรู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เขาก็เข้าใจความจริงประมาณนึงว่าต้องอยู่กับความจริง ต้องเผื่อใจไว้ เผื่อความฝันเราไม่เป็นจริง
“มันก็จะแบบนึกถึงแบบเฮ้ย! มันเป็นจริงแล้ว คือเราไม่ได้เตรียมตัวว่าวันหนึ่งมันมาถึงแล้ว จากที่เราคิดว่าแบบ คือมันมาไกลที่สุดคือการทำบริษัทซอฟ์ตแวร์เรื่องแรกก็เรื่องเดอะเกรทวอลครับ กำแพงเมืองจีน ก็ได้ทำฝูงสัตว์ประหลาด  

ตอนนั้นคิดว่ามาทำสักเรื่องแล้วกลับก็ไม่เสียดายล่ะ ปรากฎว่าเขาโอเค แล้วทางหัวหน้าเขาก็ให้โอกาสให้ทำเรื่องต่อไป คือReady Player Oneเป็นของคนที่เราดูหนังเขามาตั้งแต่เด็ก ก็ทำกลุ่มตัวละครเหมือนกัน ต่อมาก็ทำเรื่อง Transformers ผมทำช็อตเปิดที่มันเป็นซีเควนซ์ที่สู้รบกัน ส่วน Avenger The war ผมทำช่วงตอนที่เป็นสู้รบในวาคันด้า และล่าสุดคือ Aquaman”
 

 

 

แม้ว่าการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ แต่เขายังคงเชื่อเรื่องของการดูแลคนรอบข้าง เป้าหมาย ความฝัน ต้องดูแลควบคู่กันไป อย่างชัดเจน
“ณ ตอนนี้ผมคิดว่าเรื่องของการเรียนเพิ่มเติม หรือศึกษาด้วยตัวเอง การฝึกฝนคือสิ่งสำคัญมาก เพราะว่างานด้านนี้เปลี่ยนแปลงตลอดทุกปี ก็อยากบอกน้องๆ ว่าหมั่นฝึกฝนตัวเอง และพยายามพัฒนาเปิดโลกให้กว้าง เพราะมันเป็นยุคของการเรียนรู้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม อีกอย่างหนึ่งอยากจะฝากเรื่องการตั้งเป้าหมาย มีหลายๆ คนส่งข้อความมาว่าอยากทำให้ได้ในระดับนี้ อยากจะบอกว่าเวลาเรามีเป้าหมายที่ใหญ่นะครับ แน่นอนเลยมันจะเป็นระยะทางที่ไกลกว่าคนปกติ”
แม้ที่ผ่านมาชีวิตการทำงานยังไม่โชติช่วงเท่าไหร่นัก แต่กอล์ฟก็ไม่ละทิ้งความชอบที่เคยมี จนวันหนึ่งความฝันที่เขาฝันตั้งแต่วัยเด็กเป็นจริงขึ้นมา เขายังทิ้งท้ายให้ฟังอีกว่า อย่าละความมุ่งมั่น และความเชื่อในตัวเอง ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ หากเราตั้งใจ และศรัทธาในเป้าหมายของเรา
“ส่วนใหญ่เราต้องเจออะไรที่ทำให้ไขว้เขวเยอะ อยากให้เรามีความเชื่อหรือว่ามีความมั่นใจ หรือศรัทธาในเป้าหมาย หรือความฝันของเรา ว่ามันเป็นจริงแน่ล่ะ แต่ไม่รู้ว่าวันไหนแค่นั้นเอง อย่างเมื่อก่อนเราคิดว่าเราอาจจะได้ทำหนังฮอลลีวูด อายุสัก 50 ปี ก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยทุกปีจะต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ครับ 
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ได้รับข้อความมาไม่สามารถตอบได้หมดทุกคน มันค่อนข้างเยอะ เราเป็นกำลังใจให้อยากให้นอกจากความพยายาม หรือว่าความมุ่งมั่น เราอยากให้เพิ่มในเรื่องของการใส่ใจของคนรอบข้างเรา เพราะว่ามีบางช่วงในสมัยวัยรุ่นที่พี่ก็มุ่งมั่น มีแต่ความฝันอยากจะทำให้ได้ 
เราอาจจะหลงลืมคนรอบข้างไป แต่ถ้าวันหนึ่งน้องๆ โต คิดว่าน้องๆ จะเข้าใจมากขึ้นว่า ในวันที่เราประสบความสำเร็จมากขึ้น พ่อแม่เราก็แก่ขึ้นเรื่อยๆ มีอายุเพิ่มขึ้น ก็อยากฝากตรงนี้เพิ่มเหมือนกันนะครับว่า วัยรุ่นหรือน้องๆ ทุกคน อย่าลืมจุดนี้ด้วยเหมือนกันครับ”



สัมภาษณ์ : รายการพระอาทิตย์ Live
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ภาพ : FB วงศกร วอนสะกง