วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ซัยโจเดนกิ เครื่องปรับอากาศสัญชาติไทยโกอินเตอร์ (ที่มา Manager Online)

จับเข่าทายาทแอร์ ‘ซัยโจเดนกิ’ ปั้นแบรนด์ไทยด้วยนวัตกรรมล้ำ (มีคลิป)

โดย MGR Online   
21 กุมภาพันธ์ 2560 09:03 น.
จับเข่าทายาทแอร์ ‘ซัยโจเดนกิ’ ปั้นแบรนด์ไทยด้วยนวัตกรรมล้ำ (มีคลิป)
ธันยวัฒน์ จิตติพลังศรี
        ตลาดเครื่องปรับอากาศ หรือแอร์คอนดิชั่นในเมืองไทย มีผู้ผลิตทั้งในและนอก รวมมากกว่า 30 ราย แบรนด์ “ซัยโจเดนกิ” จากเจ้าของไทย 100% สามารถก้าวสู่หัวแถว ด้วยยอดขายติด 1 ใน 5 อันดับแรก ซึ่งปัจจัยสำคัญผลักดันธุรกิจมาถึงจุดนี้ได้ เกิดจากวิสัยทัศน์มุ่งสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัย ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ดีกว่าที่เป็นมา 
       
       หนึ่งในขุนพลสำคัญขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ดังกล่าว คือ ทายาทธุรกิจคนกลางจาก 3 พี่น้อง อย่าง “ธันยวัฒน์ จิตติพลังศรี” ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัยโจเดนกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่เข้ามาสานต่อกิจการครอบครัว เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในหน้าที่หลักทำตลาดต่างประเทศ ควบคู่วิจัยพัฒนาสินค้าให้เกิดนวัตกรรมแปลกใหม่ ช่วยให้ธุรกิจเติบโตก้าวกระโดด พร้อมวางเป้าจะขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งในดวงใจภายใน 5 ปีข้างหน้า 
       
       

จับเข่าทายาทแอร์ ‘ซัยโจเดนกิ’ ปั้นแบรนด์ไทยด้วยนวัตกรรมล้ำ (มีคลิป)
        @@@ จากรับจ้างผลิตสู่เจ้าของธุรกิจแอร์ไทยชื่อญี่ปุ่น @@@
       
       ธันยวัฒน์ เล่าว่า คุณพ่อ (สมศักดิ์ จิตติพลังศรี) บุกเบิกธุรกิจทำเครื่องปรับอากาศตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว เริ่มจากเป็นโรงงานรับจ้างผลิตอุปกรณ์ชิ้นส่วนแอร์ฯ จนคุณพ่อคิดถึงการสร้างแบรนด์ เพื่อปูทางธุรกิจให้เกิดความยั่งยืน จึงร่วมมือกับบริษัทของประเทศญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ซึ่งทำธุรกิจเป็นตัวแทนขายสินค้าต่างๆ โดยร่วมกันจัดตั้งบริษัทที่ประเทศญี่ปุ่นใช้ชื่อว่า “ซัยโจเดนกิ” เพื่อทำธุรกิจผลิตแอร์ฯ มีรูปแบบธุรกิจจะซื้ออุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ จากประเทศญี่ปุ่น แล้วนำมาประกอบชิ้นส่วน รวมถึง การผลิตทั้งหมดในเมืองไทย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงใช้ชื่อแบรนด์เป็นภาษาญี่ปุ่น
       
       หลังจากทำธุรกิจร่วมกันมาประมาณ 10 ปี ทางหุ้นส่วนประเทศญี่ปุ่น ตัดสินใจถอนตัว ไม่ทำธุรกิจนี้ต่อไปแล้ว เนื่องจากขาดทายาทธุรกิจจะสานต่อ ดังนั้น แบรนด์ “ซัยโจเดนกิ” จึงถูกโอนมาเป็นธุรกิจของคนไทย 100% นับตั้งแต่นั่นเป็นต้นมา 
จับเข่าทายาทแอร์ ‘ซัยโจเดนกิ’ ปั้นแบรนด์ไทยด้วยนวัตกรรมล้ำ (มีคลิป)
ห้องวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์
        @@@ ทายาทต่อยอดธุรกิจด้วยนวัตกรรม @@@@
       
       ทายาทหนุ่มเรียนจบด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วางเป้าหมายอย่างแน่วแน่ว่า จะเข้ามาช่วงสานต่อธุรกิจครอบครัว เพราะผูกพันคลุกคลีกับอาชีพนี้มาตั้งแต่จำความได้ ซึ่งสถานการณ์เมื่อตอนเข้ามารับไม้ต่อเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แบรนด์ “ซัยโจเดนกิ” ถือว่าเป็นที่รู้จักของคนไทยมากพอสมควรอยู่แล้ว ทว่า ด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้น ทั้งจากแบรนด์ญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าตลาดเดิม และแบรนด์เกิดใหม่ ทั้งของไทย จีน และเกาหลี ซึ่งการแข่งขันมุ่งตัดราคา ดังนั้น เลือกจะหันมามุ่งสร้างความแตกต่างจากสินค้าอื่นๆ ด้วยการปั้นแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับในคุณภาพ และนวัตกรรมที่พิเศษยิ่งกว่า
       
       “คุณพ่อมีวิสัยทัศน์ในการสร้างแบรนด์ กับสร้างนวัตกรรมมาตลอด ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว จนถึงช่วงที่ผมเข้ามาสานต่อ ยอดขายของเราเริ่มทรงตัว ขณะที่มีคู่แข่งรายใหม่จำนวนมาก และตัดราคากันอย่างรุนแรง ซึ่งเรารู้ดีว่า ไม่สามารถจะขายราคาถูกที่สุดได้ จำเป็นต้องหาทางสร้างความพิเศษ เพื่อจะให้ลูกค้าหันเลือกมาซื้อสินค้าของเรา ด้วยการสร้างให้แอร์ของเรามีนวัตกรรมที่เหนือกว่าสินค้าในท้องตลาด” ธันยวัฒน์ เผยแนวคิด 
จับเข่าทายาทแอร์ ‘ซัยโจเดนกิ’ ปั้นแบรนด์ไทยด้วยนวัตกรรมล้ำ (มีคลิป)
แอร์ที่เชื่อมระบบ IoT” (Internet of Things)
        วิธีการสร้างนวัตกรรมของผู้ผลิตแอร์รายนี้ มุ่งไปที่ 3 ประเด็นหลัก คือ 1.ด้านสุขภาพ 2.ความประหยัด และ3.ทันสมัยเข้ากับเทรนด์โลกยุคใหม่ โดยก่อนจะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ใดๆ ก็ตาม จะสำรวจก่อนว่า เวลานั้น ผู้บริโภคต้องการสิ่งใดบ้าง และมีสินค้าใดที่ดีสุดในตลาด เพื่อจะพัฒนาให้ดียิ่งกว่าอย่างน้อย 2-3 เท่าตัว เพื่อดักรอโอกาสของตลาดในอนาคต 
       
       “ตอนนั้น คู่แข่งรอบตัว มีแต่แบรนด์ระดับโลก ขนาดธุรกิจใหญ่กว่าเราทุกราย วิธีที่จะคนตัวเล็กจะสู้ได้ คือ วิ่งให้เร็วกว่า ดักรอสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ได้ อย่างเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราเริ่มพัฒนาแอร์เพื่อจับเทรนด์ “สุขภาพ” โดยพัฒนาแผ่นฟอกอากาศพิเศษ ซึ่งทุกวันนี้ เรื่องสุขภาพกลายเป็นเทรนด์ฮิต หรือเมื่อหลายปีก่อน เรามั่นใจอยู่แล้วว่าเทรนด์ “IoT” (Internet of Things) จะมาแรง เราจึงรีบพัฒนานวัตกรรมเชื่อมอินเตอร์เน็ตกับแอร์ฯ เพื่อส่งสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดก่อนรายใหญ่ ควบคู่กับจดสิทธิบัตรไว้ก่อนด้วย เฉพาะแค่ปี 2559ที่ผ่านมา เราจดสิทธิบัตรกว่า 20 รายการ” ธันยวัฒน์ ระบุ 
จับเข่าทายาทแอร์ ‘ซัยโจเดนกิ’ ปั้นแบรนด์ไทยด้วยนวัตกรรมล้ำ (มีคลิป)
แอร์ไทยส่งไปขายญี่ปุ่น
        @@@@ แอร์ไทยรายแรกส่งขายในประเทศญี่ปุ่น @@@
       
       หนึ่งในนวัตกรรมชิ้นเอกของ “ซัยโจเดนกิ” ได้แก่ การนำเชื่อมต่อเครื่องปรับอากาศกับการใช้งานอินเตอร์เน็ต ผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน โดยริเริ่มทำตั้งแต่ก่อนกระแส IoT จะบูมอย่างเช่นปัจจุบันเสียอีก
       
       ธันยวัฒน์ อธิบายเสริมว่า เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว การนำอินเตอร์เน็ตมาอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันเริ่มเป็นที่ถูกกล่าวถึง แต่หากคิดแค่เชื่อมอินเตอร์เน็ตเพื่อเปิดปิดแอร์ ย่อมธรรมดาเกินไป ใครๆ ก็ทำได้ ดังนั้น จึงคิดนวัตกรรมเชื่อมแอร์กับอินเตอร์เน็ต โดยนำปัญหาการใช้งานของลูกค้ามาเป็นตัวตั้ง ซึ่งจากการสำรวจพบว่า เวลาแอร์เสีย ลูกค้ามักไม่วางใจช่างแอร์ เกรงจะซ่อมผิดพลาด หรือคิดราคาแพงเกินจริง จึงพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่ผู้ใช้สามารถตรวจสอบอุปกรณ์ภายในแอร์ได้เองกว่า 30 รายการ ผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟน รวมถึง ตรวจสอบค่าไฟฟ้าได้เป็นรายชั่วโมงและรายวัน อีกทั้ง มีหมวดประหยัดไฟ นอกจากนั้น ยังติดตั้ง GPS ควบคุมการเปิดปิด และกำหนดอุณหภูมิได้จากทุกสถานที่ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ รวมถึง มีสัญญาณเตือนเปิดปิดแอร์ ในระยะทาง 3 กิโลเมตรรอบรัศมีของตัวแอร์
       
       “ความเจ็บปวดของลูกค้าที่เราทำการสำรวจพบว่า เวลาแอร์ที่บ้านเสีย ต้องเรียกช่างมาดู ซึ่งมาตรฐานช่างแต่ละคนต่างกันไป สร้างความกังวลว่า ช่างจะเปลี่ยนอุปกรณ์ให้ถูกต้องในราคาที่เหมาะสมหรือเปล่า นี่เป็นปัญหาที่อยู่ในใจผู้บริโภคตลอดมา เราจึงพัฒนาแอร์ฯ ที่สามารถบอกอาการภายในได้ และควบคุมการใช้ไฟฟ้าได้ โดยผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟน” ทายาทธุรกิจ เสริม
       
       ด้วยนวัตกรรมนี้ ประเทศญี่ปุ่นให้ความสนใจ จนสั่งนำเข้า ทำให้ “ซัยโจเดนกิ” เป็นผู้ผลิตแอร์ไทยรายแรกที่สามารถส่งสินค้าไปขายที่ญี่ปุ่นได้ นอกจากนั้น การมีนวัตกรรมแปลกใหม่ ยังก่อประโยชน์ทางอ้อม ช่วยให้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนนำไปเผยแพร่ต่อ เท่ากับได้ประชาสัมพันธ์ฟรีให้คนทั่วไปได้รู้จักแบรนด์มากยิ่งขึ้น 
จับเข่าทายาทแอร์ ‘ซัยโจเดนกิ’ ปั้นแบรนด์ไทยด้วยนวัตกรรมล้ำ (มีคลิป)
        @@@ เผยนวัตกรรมสร้างได้จาก “คน” และ “ทีมงาน” @@@
       
       เขาระบุด้วยว่า การสร้างนวัตรรมให้ประสบความสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องลงทุนมหาศาลเสมอไป แต่หัวใจแท้จริงที่จะก่อให้เกิดนวัตกรรม มาจากการสร้าง “บุคลากร” และ “ทีมงาน” ที่มีคุณภาพ พร้อมให้โอกาสทำงานอย่างต่อเนื่อง
       
       อย่างไรก็ตาม ในการสร้างนวัตกรรมย่อมต้องเกิดความล้มเหลวมากกว่าสำเร็จ สิ่งสำคัญ เมื่อผิดพลาดแล้ว ต้องควบคุม ให้อยู่ในวงจำกัด ขั้นแรกพยายามไม่ให้หลุดรอดจากห้องวิจัย ต่อมา ไม่ลงไปสู่ภาคการผลิต และที่สำคัญ ห้ามหลุดไปสู่ตลาดภายนอก ซึ่งจะสร้างความเสียหายมหาศาล
       
       นอกจากนั้น การบรรยากาศในการทำงาน ให้เหมาะสม และสร้าง “วัฒนธรรมองค์กร” จะเป็นอีกปัจจัยที่จะเอื้อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ โดยทุกคนในองค์กรไม่ควรตำหนิกันและกัน หรือถูกดูคนผู้ที่พยายามจะคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ห้ามแบ่งแยกคนตามความสามารถ ขอให้เชื่อว่า ทุกคนต่างมีความสามารถในแบบของตัวเอง เช่นเดียวกับทีมวิจัยและพัฒนา ก็เป็นเพียงหนึ่งในฟันเฟื่ององค์กรที่จะไม่ได้รับอภิสิทธิ์เหนือพนักงานฝ่ายอื่นๆ แม้แต่น้อย
       
       “สำหรับผมแล้ว เชื่อว่า นวัตกรรมที่ดี ต้องแตกต่างและดีกว่า ที่สำคัญ ต้องผลิตและขายได้ด้วย ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ต้องมาจากการสร้างทัศนคติให้ทีมงานอยากพัฒนาสินค้าให้เหนือกว่าคู่แข่ง อยากจะเป็นที่หนึ่งเสมอ ซึ่งการสร้างทัศนคติดังกล่าว เป็นการลงทุนที่ต่ำที่สุด แต่ถ้าทำได้จะมีประโยชน์ที่สุดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม คนสร้างนวัตกรรม ต้องการทบทวนตัวเองสม่ำเสมอ ว่ากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่หรือเปล่า ไม่เช่นกัน อาจจะกลายเป็นคนฝันฟุ้ง เพ้อเจ้อ ไม่อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง”
       
       “ผมมองว่า นักพัฒนาต้องมาจากนรก ไม่ได้เป็นเทพมาจากสวรรค์ เพราะการสร้างนวัตกรรม คือ การสร้างสิ่งใหม่จากปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ลอยมาจากสวรรค์ บางทีเราคิดว่าคนคิดนวัตกรรม เป็นเทพเจ้า ต้องเกิดมาสมองอัจฉริยะ ไอคิวสูง แล้วประทานสิ่งอะไรออกมาเป็นนวัตกรรมอย่างที่เราเห็น แต่จริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นเลย นวัตกรรมเกิดจากคนธรรมดานี่แหล่ะ แล้วพัฒนาตัวเองขึ้นมา ไม่ใช่พระเจ้า” เขาย้ำ 
จับเข่าทายาทแอร์ ‘ซัยโจเดนกิ’ ปั้นแบรนด์ไทยด้วยนวัตกรรมล้ำ (มีคลิป)
"“สำหรับผมแล้ว เชื่อว่า นวัตกรรมที่ดี ต้องแตกต่างและดีกว่า ที่สำคัญ ต้องผลิตและขายได้ด้วย"
        เขาระบุด้วยว่า สำหรับ“ซัยโจเดนกิ” ทีมงานที่จะสร้างนวัตกรรมต้องขยัน ทำงานหนัก มีวินัย อยู่ภายใต้กฎระเบียบ ของบริษัท รู้จักประหยัดใช้เงินทุนอย่างเหมาะสม ไม่เช่นนั้น แม้สุดท้ายจะคิดนวัตกรรมขึ้นมาได้ หากราคาสูงเกินไป ก็จะไม่สามารถจะขายได้
       
       นอกจากนั้น คนสร้างนวัตกรรมต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คิดเสมอว่า ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้น ทำให้ได้เรียนรู้นำมาแก้ไขและพัฒนาใหม่ รวมถึง อย่าไปยึดติดกับแค่เทรนด์ในปัจจุบัน ให้จำไว้เสมอว่า ทุกกระแสความนิยมไม่นานก็ต้องหมดไป จำเป็นต้องสร้างนวัตกรรมใหม่เพื่อนำหน้าคู่แข่งอยู่เสมอ
       
       “สิ่งที่ผมพูด อาจจะขัดกับภาพในความคิดของคนทั่วไป ที่คิดว่าคนสร้างนวัตกรรมต้องเป็นคนเก่งระดับอัจฉริยะ แต่งตัวเท่ๆ แต่สำหรับผมแล้ว คนสร้างนวัตกรรมต้องเป็นคนที่มีขยัน ทำงานหนัก ทำงานร่วมกับคนอื่นได้ ไม่ใช่เก่งอยู่คนเดียว ดังนั้น คนทำนวัตกรรมของเรา จึงต้อง “ติดดิน” และอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง เขาระบุ 
จับเข่าทายาทแอร์ ‘ซัยโจเดนกิ’ ปั้นแบรนด์ไทยด้วยนวัตกรรมล้ำ (มีคลิป)
        @@@ วางเป้าอีก 5 ปี ขึ้นแท่นแอร์ไทยเบอร์หนึ่งในใจผู้บริโภค @@@
       
       ธันยวัฒน์ เผยด้วยว่า ปัจจุบันตลาดธุรกิจเครื่องปรับอากาศในเมืองไทย มูลค่ารวมประมาณ 25,000 ล้านบาทต่อปี โดยปีที่แล้ว (2559) ซัยโจเดนกิ มีผลประกอบการเติบโตกว่า 30% มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท มาจากยอดขายในประเทศ 70% และอีก 30% ส่งออกต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ยุโรป และอาเซียน เป็นต้น นับเป็นแบรนด์ที่มียอดขายสูงสุดติด 1 ใน 5 อันดับแรก โดยอีก 4 รายที่เหลือล้วนแต่เป็นอินเตอร์แบรนด์ทั้งสิ้น
       
       ทั้งนี้ วางเป้าหมายว่า อีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า จะก้าวเป็นแบรนด์เครื่องปรับอากาศสัญชาติไทย หมายเลข 1 ในใจผู้บริโภค โดยใช้จุดแข็งมีนวัตกรรมเหนือชั้น รวมถึง สินค้ามีคุณภาพความแข็งแรงทนทานกว่าแบรนด์ชั้นนำ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี หรืออเมริกา เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการยอมรับและเชื่อมั่นในแบรนด์ไทย 
       
       “ทุกครั้งที่ไปทำตลาดในต่างประเทศ ผมจะบอกเสมอว่า นี่เป็นแบรนด์ไทย ซึ่งในสายตาของต่างชาติ อย่างญี่ปุ่นจะมองจากข้อเท็จจริง หากนวัตกรรมดีจริง เขาพร้อมจะยอมรับ ส่วนตลาดในอาเซียนมองสินค้าไทยเป็นระดับพรีเมียมอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบัน จากการแข่งขันดุเดือด ผมกลับมองว่าเป็นโอกาสดี เพราะแบรนด์ดังของญี่ปุ่นหันมาลดต้นทุน เพื่อจะขายลดราคาแข่งกับแอร์จากประเทศจีน ทำให้คุณภาพด้อยลง หากเราสามารถทำคุณภาพให้เหนือกว่าได้ ผู้บริโภคจะยอมรับและเชื่อมั่นในแบรนด์ไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” ทายาทธุรกิจ กล่าว
       
       ในตอนท้าย เขาระบุด้วยว่า การทำนวัตกรรม ถ้าคิดว่าจะทำเพื่อรวยเป็นอันดับแรก จะไม่มีทางสำเร็จ เพราะระหว่างทางในการวิจัยและพัฒนาย่อมเกิดปัญหาและความผิดพลาดแน่นอน ซึ่งจะก่อให้เกิดความท้อ จนไม่สามารถสร้างนวัตกรรมสำเร็จ ดังนั้น หากเปลี่ยนความคิด มามุ่งทำจะนวัตกรรมเพื่อสร้างสิ่งที่ดีกว่าเดิม ให้เกิดประโยชน์แก่คนทั้งโลก การทำงานจะเกิดความสนุกท้าทาย จนเมื่อสร้างนวัตกรรมที่เกิดประโยชน์และขายได้จริง ผลสำเร็จด้านรายได้จะตามมาเอง 

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2560

จานกาบหมาก“วีรษา” ภูมิปัญญาโกอินเตอร์

http://www.komchadluek.net/news/kom-kid/254141http://www.komchadluek.net/news/kom-kid/254141



คมคิดธุรกิจนิวเจน  :  29 ธ.ค. 2559 (คม ชัด ลึก ออนไลน์)

จานกาบหมาก“วีรษา” ภูมิปัญญาโกอินเตอร์

“จานกาบหมาก” ภาชนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยี่ห้อ “วีรษา” (Veerasa) จุดเริ่มต้นจากฝีมือของทหารช่าง สู่ผลิตภัณฑ์คว้ารางวัล และส่งออกระดับอินเตอร์

            จากใบไม้ร่วงที่ไร้ราคา ตอนนี้ใบของต้นหมากในส่วนของกาบใบหรือ “กาบหมาก” กลายเป็นวัสดุธรรมชาติหรือวัตถุดิบที่มีราคาและหายากไปแล้ว
            หมากที่ว่าก็คือ “หมากสง” ที่คนไทยสมัยก่อนและหลายเชื้อชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิยมนำเมล็ดข้างในผลของมันมากินคู่กับใบพลูทาด้วยปูนแดง เคี้ยวด้วยกันจะมีน้ำหมากสีแดงออกมา ซึ่งต้องบ้วนทิ้ง
            ปัจจุบันกาบหมากถูกนำมาใช้ผลิตเป็นภาชนะที่เรียกว่า “จานกาบหมาก” ในแบรนด์หรือยี่ห้อ “วีรษา” (Veerasa) ที่มีจุดเริ่มต้นจากฝีมือของทหารช่าง พ.ต.คมกฤษ ภิญโญ ที่ต้องการช่วยภรรยาคือ คุณสุมาลี ภิญโญ แก้ปัญหาเรื่องภาชนะในการจัดขันโตกนับร้อย ในงานประเพณีกินเข่าค่ำ ของดีเมืองสูงเนิน ของชาวอำเภอสูงเนิน จ.นครราชสีมา เมื่อหลายปีก่อน เนื่องจากทั้งคู่ไม่อยากใช้ภาชนะโฟม ซึ่งย่อยสลายยากและก่อให้เกิดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อใช้ใบตองเย็บเป็นถ้วยก็เกิดปัญหารั่วซึม บางครั้งก็เย็บไม่ทันใช้ แถมบางคราวยังเหี่ยวแห้งเร็ว พอเปลี่ยนมาใช้ถ้วยกระเบื้อง นอกจากพบปัญหาแตกร้าวแล้วก็ยังสูญหายอีกด้วย
จานกาบหมาก“วีรษา” ภูมิปัญญาโกอินเตอร์
            “คุณแป้ง” ปาณิศา คุ้มไข่น้ำ หนึ่งในผู้ดูแลธุรกิจจานกาบหมาก “วีรษา” วัย 26 ปี ชาวโคราช และในฐานะลูกสะใภ้ของ พ.ต.คมกฤษ และ คุณสุมาลี เล่าถึงจุดเริ่มต้นของจานกาบหมากว่า สมัยก่อนชาวอำเภอสูงเนินปลูกต้นหมากกันเยอะ ขายลูกหมากเป็นอาชีพ รวมถึงที่บ้านของสามี มีวันหนึ่งคุณแม่สุมาลีเห็นใบกาบหมากที่ร่วงอยู่ตามท้องร่อง จึงเกิดความคิดและคุยกับคุณพ่อว่าน่าจะเอามาทำภาชนะ นำมาเย็บหรือขึ้นรูปได้ คุณพ่อซึ่งเป็นทหารช่างและมีฝีมืออยู่แล้ว จึงลองประดิษฐ์คิดค้นเครื่องจักรขึ้นมา จนกระทั่งประสบความสำเร็จ ได้ภาชนะจากกาบหมากไปใช้จัดขันโตก และจากเครื่องจักรเล็กๆ ที่ใช้ผลิต ปัจจุบันมีแม่พิมพ์ที่หลากหลายรูปแบบที่เหมาะสมตามการใช้งาน
            "ตอนแรกเราทำเฉพาะที่ใช้ในการจัดขันโตก แต่มีคนสนใจและสั่งทำ เราก็ทำให้ตามออเดอร์เท่านั้น ไม่ใช่กิจการใหญ่โตอะไร ซึ่งทำมาตั้งแต่ปี 2539 แต่ว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กระแสความนิยมในตัวผลิตภัณฑ์จากสิ่งแวดล้อมเป็นที่สนใจของผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้ยอดสั่งซื้อขยับตามไปด้วย จนครอบครัวต้องหันมาทำเป็นธุรกิจจริงจัง โดยเปิดบริษัท ภิญโญวานิช จำกัด ขึ้นมาเมื่อปีที่แล้ว"
จานกาบหมาก“วีรษา” ภูมิปัญญาโกอินเตอร์
            เสน่ห์ของจานกาบหมาก “วีรษา” อยู่ที่การเป็นภาชนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยคุณแป้งบอกว่า ผลิตจากธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีสารฟอกขาวและสารเคมีเจือปน สามารถย่อยสลายได้เอง มีกลิ่นหอมและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ น้ำหนักเบา ไม่แตกหักเสียหายง่าย สามารถนำเข้าไปอุ่นในเตาไมโครเวฟได้ บรรจุของเหลวได้ ไม่รั่วซึมและไม่อ่อนตัว ใส่อาหารได้ทุกประเภททั้งร้อนและเย็น ตั้งแต่อุณหภูมิติดลบ 18 องศาเซลเซียส จนถึง 250 องศาเซลเซียส
            "เราเอาของธรรมชาติมาใช้ จึงไม่มีโทษอะไรอยู่แล้ว หากมองถึงเรื่องสุขภาพ ถ้าเราใช้พลาสติกและโฟมทุกวันก็เหมือนกับการมีสารเคมีเข้าไปสะสมในร่างกาย เรื่องราคาซึ่งอาจดูสูงไปหน่อยแต่ก็เหมือนกับเราซื้อสิ่งดีๆให้ตัวเองเพื่อใช้ใส่อาหารรับประทาน อีกทั้งยังเป็นการช่วยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะใบกาบหมาก เรารอให้เขาร่วงลงมาจากต้นเอง จึงเก็บมาใช้ ไม่ได้ไปดึงออกมาจากต้นตัดแต่งหรือทำลายเขา" คุณแป้งกล่าว
จานกาบหมาก“วีรษา” ภูมิปัญญาโกอินเตอร์
            ด้วยคุณภาพของจานกาบหมาก “วีรษา” ที่บอกต่อปากต่อปาก และการออกรายการทีวีต่างๆ ทำให้ฐานลูกค้าเดิมตั้งแต่ยังไม่ก่อตั้งบริษัทยังคงเหนียวแน่นและใช้บริการมาอย่างต่อเนื่องทั้งผู้จัดงานอีเวนท์, รีสอร์ท, โรงแรมและร้านอาหารต่างๆ แต่นั่นก็เป็น “การตลาดเชิงรับ” เพราะมีแต่ลูกค้าติดต่อเข้ามา แม้มันจะทำให้ยอดขายเพิ่มจากหลักสิบกลายมาเป็นหลักหมื่นในปัจจุบัน ซึ่งขายดีมากๆ โดยเฉพาะหน้าหนาวที่ถูกนำไปใช้ตามงานอีเวนท์ต่างๆ เช่น บิ๊กเมาท์เท่น และวันเดอร์ฟรุต เป็นต้น แต่คุณแป้งและครอบครัวมองว่าควรจะทำ “การตลาดเชิงรุก” ด้วย
            นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้บริษัท ภิญโญวานิช หันมาทำ “การตลาดออนไลน์” ด้วยการเปิดเว็บไซต์ : www.veerasa.com, อินสตาแกรม : veerasaplate Line: @paninisaและเฟซบุค: จานกาบหมาก Veerasa ซึ่งเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็ว อีกทั้งได้ผลตอบรับรวดเร็วกลับมาเช่นกัน และยังติดต่อได้ทางโทรศัพท์ 09-4290-8735, 08-9579-2112
            บริษัทยังได้ปรับกลยุทธ์ในการขาย จากเดิมที่ “ขายส่ง” เพียงอย่างเดียวตอนนี้วางแผน “ขายปลีก” เพิ่มด้วยโดยบรรจุ 6 ใบต่อแพ็ก เพื่อให้ผู้บริโภคตามครัวเรือนสามารถนำไปใช้ได้ และจะวางจำหน่ายใน “ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต” ต้นปี พ.ศ.2560 ขณะเดียวกันยังได้เน้นกลยุทธ์ในการผลิตคือการรักษาคุณภาพ ความสะอาด และพยายามปรับเปลี่ยนรูปทรงเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของผู้บริโภค
จานกาบหมาก“วีรษา” ภูมิปัญญาโกอินเตอร์
            การปรับกลยุทธ์ต่างๆ ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป เพราะด้วยจำนวนความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ไม่สอดคล้องกับจำนวนวัสดุธรรมชาติหรือวัตถุดิบที่มีอยู่ ทำให้บริษัท ภิญโญวานิช ประสบปัญหาขาดแคลนกาบหมาก ต้องปฏิเสธการขายให้ลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าจากต่างประเทศที่สั่งสินค้าในปริมาณเท่ากับตู้คอนเทนเนอร์หลายตู้
            "ก่อนหน้านี้มีออเดอร์จากต่างประเทศเข้ามาตลอด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าจากแถบยุโรป เขารับซื้อเป็นตู้คอนเทนเนอร์ แต่กำลังการผลิตของเรายังไม่มากพอที่จะรองรับออเดอร์เยอะขนาดนั้น จากปัญหาดังกล่าวทำให้บริษัทต้องวางแผนขยายกำลังการผลิตและขยายโรงงาน ด้วยการรับซื้อกาบหมากจากชาวสวนทั่วไป ขณะเดียวกันก็ปลูกเพิ่มเองด้วย ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปี กว่าที่ต้นจะโตจนสามารถใช้งานได้ แต่ก็เชื่อว่าจะเพียงพอต่อความต้องการในอนาคตแน่นอน ส่วนตอนนี้จานกาบหมากวีรษายังเหลือเพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ ยังสามารถสั่งซื้อเข้ามาได้" คุณแป้ง กล่าวทิ้งท้าย
จานกาบหมาก“วีรษา” ภูมิปัญญาโกอินเตอร์
            จากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบันด้วยหัวใจที่รักธรรมชาติและไม่อยากให้เกิดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมของ “พ.ต.คมกฤษ–คุณสุมาลี ภิญโญ” จึงก่อให้เกิดภาชนะจานกาบหมาก 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ “วีรษา” ...สินค้าฝีมือคนไทยสินค้ารักษ์โลก

ปทุม กลิ่นหอม : รายงาน