วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ศิลปะแห่งความภูมิใจ ของ ชูศิษฐ์ วิจารณ์โจรกิจ

ศิลปะแห่งความภูมิใจ ของ ชูศิษฐ์ วิจารณ์โจรกิจ

April 23, 2019
by พิมพ์พัดชา กาคำ
ชูศิษฐ์ วิจารณ์โจรกิจ ผู้สร้างผลงานแฝงสไตล์ความเป็นไทยจนได้รับการยอมรับไปทั่วโลก การันตีฝีมือด้วยการคว้ารางวัลชนะเลิศการประกวดวาดภาพลายเส้นจาก "อเมริกัน อาร์ติสต์ แมกกาซีน" ที่ได้รับการยอมรับในแวดวงศิลปะมานานกว่า 70 ปี

HIGHLIGHTS

  • ชูศิษฐ์ วิจารณ์โจรกิจ ศิลปินไทยคนแรกที่ได้เป็น 1 ใน 7 ศิลปินร่วมแสดงผลงานในนิทรรศการ Painting from the Past ที่จัดโดย The Metropolitan Museum of Art ที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
  • ได้รับทุนจาก Leslie T.Posey Foundation ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่ New York Academy of Art ประเทศสหรัฐอเมริกา
  • คิวเรท นิทรรศการ ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ และพระผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งแผ่นดิน ถวายเป็นพระราชกุศล แต่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยรายได้ส่วนหนึ่งสมทบทุนมูลนิธิอานันทมหิดล
  • ศิลปินไทยคนแรกที่สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศที่ 1 จากการประกวดวาดภาพลายเส้น "อเมริกันอาร์ติสต์ แมกกาซีน"
  • ได้รับเกียรติจากกองประกวดมิสยูนิเวิร์ส บริษัท TPN2018 ให้สร้างสรรค์สัญลักษณ์ที่ใช้ในการประกวด "มิสยูนิเวิร์ส 2018" ที่จัดขึ้นในประเทศไทย
ศิลปินผู้รังสรรค์งานศิลปะที่น่าจับตามองแห่งยุค ชูศิษฐ์ วิจารณ์โจรกิจ เปิดบ้านให้เข้าชมผลงานที่เขาภาคภูมิใจ พร้อมทั้งได้ชมของสะสมที่มีคุณค่าต่อจิตใจ มากมายหลายชิ้น โดยเฉพาะ ผลงานรีโปรดักชั่นของ ศิลปิน Rembrandt ชื่อภาพ Portrait of Herman Doomer ที่เขามีโอกาสได้เข้าไปวาดรีโปรดักชั่นในพิพิธภัณฑ์ The Metropolitan Museum of Art ณ นคร New York
1.
                กล่าวถึง “คุณป๋วย-ชูศิษฐ์” หลังจากไปศึกษาต่อปริญญาโท ที่ New York Academy of Art ศึกษาด้านเทคนิคการวาดภาพแบบโบราณของยุโรป เพื่อการถ่ายทอดผลงานออกมาได้ล้ำลึกยิ่งขึ้น
                “ผมเป็นคนที่ชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็ก ชอบอะไรที่มีประวัติศาสตร์ มีความเป็นมา ชอบความมีรากเหง้าของวัฒนธรรม เชื่อว่ามนุษย์สร้างอะไรขึ้นมาต้องมีคุณค่ามีความพิเศษอยู่แล้ว ก็เลยอยากจะไปทำความเข้าใจ เพราะเราทำงานทางด้านพอร์ทเทรต (Portrait) เราอาจจะเห็นผลงานของศิลปินระดับมาสเตอร์พีช เรารู้ว่าอันนี้คือมิติความงาม ที่มีความล้ำลึกอยู่ภายใน แต่เราอาจจะไม่เข้าใจมากพอ เพราะเป็นงานศิลปะแบบยุโรป ขณะที่เราเป็นคนเอเซีย เรียนยังไงก็ไม่ลึกซึ้งเท่าไปสัมผัสจริงๆ ทำให้ผมคิดว่าต้องก้าวไปอีกสเต็บหนึ่ง เพื่อไปเรียนต่อที่นิวยอร์ก พอไปเรียนก็ได้เปิดโลกทรรศน์จริงๆว่า อ๋อ ที่เรายังไม่เข้าใจคืออะไร”
                ในวิชา Painting and Drawing at the Met เขาได้มีโอกาสเลือกวาดรูปต้นแบบของศิลปินระดับโลกในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ผลงานชิ้นนี้จึงยากยิ่งกว่านั่งวาดคนจริงๆ เพราะต้องศึกษาวิเคราะห์เทคนิคเบื้องลึกจริงๆ ของศิลปินต้นแบบว่าเขามีขั้นตอนและเทคนิคอย่างไร รวมทั้งการผสมสี การใช้กระดานไม้อะไร  ใช้น้ำยาอะไรในการผสมสี อารมณ์ภาพเป็นแบบไหน ก่อนจะออกมาเป็นผลงานภาพชิ้นนี้จึงยากมาก
2.
                “ขั้นตอนในการวาดทุกจังหวะจะผิดขั้นตอนไม่ได้เด็ดขาด ถ้าผิดขั้นตอนเมื่อไหร่นั่นหมายถึงคุณพลาด ยากกว่าวาดอิสระที่มีแบบนั่งอยู่ตรงหน้า แล้วเราก็แค่วาดให้เหมือนโดยใช้เทคนิคส่วนตัว อันนี้นอกจากจะวาดให้เหมือนแล้วเทคนิคทุกขั้นตอนต้องเหมือนอีกด้วย  สีแต่ละเลเยอร์ต้องถูกต้องและสวยขึ้นมาทุกชั้น การวาดอยู่ในมิวเซียมที่ใหญ่มากๆ มีคนมามุงดูตลอดเวลา มีชาวต่างชาติมาถามเราตลอดเวลา ต้องมีความแม่นยำ ไม่ต่างจากการวาดสด พิสูจน์ฝีมือให้คนทั้งหมดที่มามุงดูเรา รูปนี้ผมใช้เวลาวาด 6 เดือน  เข้าไปมิวเซียมอาทิตย์ละวัน  ใช้เวลาครั้งละ 3-4 ชั่วโมง พอเขาจะจัด Exhibition ที่ The Met ผมก็ได้รับเกียรติเป็น 1 ใน 7 ศิลปินที่จัดแสดงงานมีคนมาดูเยอะมาก ตอนที่ผมทำงานมีคนของเขามาแอบถ่ายรูปตอนที่ผมทำงานแล้วเอาไปลงภาพปกของโบชัวร์ ที่ใช้แจกนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไป ถือว่าได้รับเกียรติมากๆ และถือว่าเป็นเทิร์นนิ่งพอยท์ของชีวิตผม เพราะเราเข้าไปศึกษาจริงจังได้รับความรู้เพิ่มเติมในการทำผลงานชุดต่อๆไป”
2019-04-10-15-54-39
                   ภาพของ ศิลปิน Rembrandt  ในศตวรรษที่ 17 ที่คุณป๋วยต้องวาดลงบนแผ่นไม้ตามต้นแบบอย่างไม่มีผิดเพี้ยน จำเป็นต้องมีกรอบรูปไม้สไตล์ดัตช์ ใกล้เคียงกับภาพจริงที่อยู่ภายในพิพิธภัณฑ์ ถือว่าเป็นโจทย์ที่ต้องตามหาให้เจอ ในที่สุดก็หาได้จากร้านขายกรอบรูปแอนทีค ที่เขารับทำกรอบรีโปรดักชั่นให้กับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้พอดี ถือว่าโชคดีมาก เป็นกรอบไม้เนื้อแข็งแกะสลักสไตล์ดัตช์ (หนักประมาณ 10 กิโลกรัม ขนกลับเมืองไทยมาด้วยหลังเรียนจบ)ใกล้เคียงกับในพิพิธภัณฑ์ เป็นภาพที่มีคนขอซื้อเยอะมาก ทว่าเขาไม่ยอมขาย เพราะเป็นผลงานที่รักและมีความหมายต่อเขาอย่างสุดซึ้ง
ขาตั้งไม้โอ๊ค ย้อน ศตวรรษที่ 19 (Oak Ralph Lauren Londole Artist’seasel) เป็นอีกหนึ่งของสะสมที่ใช้งานได้จริงที่เขารักและภูมิใจที่ได้ครอบครอง
                “ขาตั้งตัวนี้ซื้อที่เมืองไทยเป็นไม้โอ๊คแท้มีระบบแมคคานิค ตัวจับที่หมุนเป็นทองเหลือง ระบบการเคลื่อนตัวทำตามแบบขาตั้งยุคศตวรรษที่ 19 ชอบมากๆ เพราะตอบโจทย์การทำงาน สามารถวาดผลงานชิ้นใหญ่ๆได้ เลื่อนขึ้นเลื่อนลงได้ 2 ระบบ เลื่อนต่ำสุดเกือบพื้นได้ แล้วเลื่อนโน้มตัวมาข้างหน้าได้ ถ้าแสงเปลี่ยนเวลาเราวาดสีน้ำมันแสงมันจะสะท้อนเข้าตา เราก็เลื่อนโน้มลงมาจะช่วยตัดแสงได้ ก่อนหน้านั้นผมมีขาตั้งอีกตัวซื้อตอนได้ทุนไปเรียนที่เยอรมนีเป็นของ MABEF เมดอินอิตาลี”
2019-04-10-15-58-53
                กระจกกรอบไม้แกะสลักโบราณ ซื้อตอนเรียนที่นิวยอร์ก วิชา Painting  อาจารย์ให้นักเรียนไปหาต้นแบบตามหัวข้อต่างๆ ด้วยความที่เป็นคนชอบของเก่า มีประวัติศาสตร์  เขาจึงไปเดินหาตามร้านขายของแอนทีค ได้กระจกไม้แกะสลักโบราณปิดทอง สิ่งของต้นแบบในการเรียนวาดรูปครั้งนั้นจึงมีทั้งกระจกไม้แกะสลักโบราณ
2019-04-10-16-03-24
และ  รูปวาดผู้หญิง Ivory Portrait Miniatures เป็นงานวาดภาพพอร์ทเทรตเขียนสี Qouache และ  watercolor ลงบนงาช้าง
                “ชอบผลงานสองชิ้นนี้มาก (รูปผู้หญิง)เพราะดูจากผลงานแล้วอาร์ติสต์มีฝีมือ  เนื่องจากเป็นงานที่มีขนาดเล็กมาก เขาสามารถเก็บรายละเอียดได้ดีและสวย   ศิลปะตะวันตกก็จะมีผลงานแบบนี้ในมิวเซียมเยอะ ส่วนใหญ่ใช้สีกวอซ และสีน้ำ มีเทคนิคการลงยาบ้าง มีความละเอียดลออ  เป็นงานเก่า ของสะสมของผมจะเป็นแหล่งความรู้ที่เราเอามาใช้ในงานสร้างสรรค์ของเราด้วย ศิลปินรุ่นก่อนๆเขาทำงานอย่างไร มีการพัฒนาอย่างไร  เราก็ต้องศึกษาเอาไว้ เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่ในเส้นทางอาชีพที่เรารัก ทุกอย่างจะหล่อหลอมอยู่ในตัวของเรา”
7.
                อีกมุมหนึ่งของบ้านมี ตู้หนังสือไม้มะฮอกกานี ออกแบบสวยงามด้านในบรรจุไว้ซึ่งหนังสือและตำราเก่าที่เขารักและหวงแหนมีทั้งหนังสือด้านงานศิลปะ เครื่องประดับ หนังสือพระมหาชนก รวมไปถึงผลงานมาสเตอร์พีชของศิลปินดังหายาก ฯลฯ ถือว่าเป็นแหล่งความรู้ที่เขาสะสมไว้ตั้งแต่เด็ก บางเล่มมีลายเซ็นต์ของอาจารย์ที่เขาเคารพรัก
6.
นอกจากนั้นก็มี ผลงานรูปปั้นบรอนซ์โบราณ (Bronze)  อายุกว่าร้อยปียุค Art Nouveau และ Art Deco
2019-04-10-16-00-48
3.
                “ตุ๊กตาพอร์ชเลน(Porcelain)  ของอังกฤษคู่นี้ผมได้มาตั้งแต่สมัยที่เรียนจบใหม่ๆ แต่ซื้อที่เมืองไทยได้จากร้านขายของแอนทีค เจ้าของร้านเขามีร้านอยู่ที่อังกฤษด้วย  ผมเอาไว้ศึกษาดูวิธีเคลือบสี ดูรายละเอียด  ปกติผมจะทำงานปั้นด้วย ผลงานของศิลปินเหล่านี้ก็เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานของเรา  ของที่ผมซื้อบางทีไม่ได้ซื้อเพราะชื่อเสียงของศิลปิน  ซื้อเพราะชอบในผลงาน รายละเอียดของงานชิ้นนั้นจริงๆ บางทีซื้อแล้วเอากลับมาดูปรากฏว่าเป็นผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงก็มี ผมยังสะสมพวกอุปกรณ์การวาดรูป  พู่กัน  สี ฯลฯ เฟอร์นิเจอร์ โต๊ะเขียนแบบสไตล์โบราณ  ถือว่าเป็นของสะสมที่ใช้งานได้จริง”
2019-04-10-15-57-43
                ศิลปินอนาคตไกลกล่าวทิ้งท้ายว่า ของทุกชิ้นที่เขาครอบครอง เสมือนเป็นแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ผลงานศิลปะ ที่ช่วยหล่อหลอมความเป็นตัวตนของ ชูศิษฐ์ วิจารณ์โจรกิจ เมื่อเห็นสิ่งของที่เขาเก็บสะสมไว้ ทำให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตแล้วมีความสุข แสนภาคภูมิใจ     

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2562

กอล์ฟ วงศกร CG พลิกชีวิตสู่ฮอลลีวูด

“ผมไม่ค่อยกลัวที่จะลอง อย่างน้อยถ้ามันไม่ได้ เราได้เรียนรู้” กอล์ฟ วงศกร CG พลิกชีวิตสู่ฮอลลีวูด

เผยแพร่:    ปรับปรุง:    โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สุดเจ๋ง! ฝีมือคนไทย “กอล์ฟ-วงศกร จินบุญยโชติ” จากเด็กที่ดูหนังกลางแปลงต่างจังหวัด ตัดสินใจไม่เรียนต่อ เพื่อก้าวตามฝันทำงานระดับฮอลลีวูด ล่าสุดทำ CG ภาพยนตร์ดัง "Aquaman” มหากาพย์หนังฮีโร่ของค่าย ดีซี ที่เพิ่งทำรายได้อย่างมหาศาล


ตัดสินใจไม่เรียนมหา'ลัยมุ่งเข้าหาฝัน!!


“ยินดีต้อนรับสู่...ลูคัสฟิล์ม” ใครจะไปคิดล่ะว่าภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ อควาแมน เจ้าสมุทร (Aquaman) มหากาพย์หนังฮีโร่ของค่าย ดีซี ที่เพิ่งทำรายได้อย่างมหาศาลไปนั้น CG (computer graphics) ส่วนหนึ่งถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือหนุ่มไทย “กอล์ฟ-วงศกร จินบุญยโชติ” ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เขาจะถูกยอมรับ และผ่านเข้ามาทำหนังระดับฮอลลีวูด
กอล์ฟได้เล่าเรื่องราวชีวิตเมื่อเปิดอีเมลเห็นข้อความจากบริษัทชื่อดังที่เขาใฝ่ฝันที่อยากเข้าไปทำงานด้วยแววตาที่ดีใจ และได้ฉายภาพวัยเด็ก เมื่อ20ปีก่อนให้ฟัง ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะมีวันนี้ วันที่เข้าไปทำงาน และทำตามความใฝฝันให้สำเร็จ จนได้เป็นเบื้องหลังให้กับภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง ได้แก่ The Great Wall , Ready Player One ,Transformers , Avenger : Infinity War และล่าสุด Aquamanที่ทำให้คุณกอล์ฟเป็นที่รู้จัก ทั้งคนไทย และในโซเชียลฯ เพราะได้โพสต์ภาพพาพ่อแม่ไปดู จนมีการแชร์และพูดถึงมากมาย
 

[พาพ่อ และแม่มาดูผลงานของตนเอง]  
ย้อนกลับไปตอนนั้นเขาได้มีโอกาสดูหนังกลางแปลงในเรื่อง "คนเหล็ก ภาค2” ด้วยความสงสัย และสนใจกับสิ่งที่ได้เห็น หลังจากนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาได้หันมาคลุกคลี สนใจงานเบื้องหลังมากขึ้น และได้ก้าวเข้ามาทำCGจนถึงปัจจุบัน
“มันเริ่มจากสมัยเด็กๆ มันมีภาพยนตร์เรื่อง คนเหล็ก ภาค 2 แต่สมัยนั้นตามต่างจังหวัดเป็นหนังกลางแปลง สมัยนั้นเราก็ดูแล้วเราก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่รู้จักว่าคืออะไร มันมีตอนที่เหมือนว่าเป็นตัวโกง หลอมกลายเป็นคน เราก็คิดว่ามันมหัศจรรย์มาก ใครที่ทำได้แบบนั้น เราก็คิดว่าเขาคงมีวิธีทำเหมือนทำจากของจริงอะไรอย่างนี้ 
เราได้มีโอกาสดูเบื้องหลัง ก็นั่งดูทีวี นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้รู้ว่ามีการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยสร้าง คือเราก็ได้รู้จักบริษัท Industrail Light & Magic  ที่ผมทำจนถึงทุกวันนี้ พอผมรู้ว่าต้องใช้คอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมชอบหนังประเภทนี้ แล้วก็ติดตามดูเบื้องหลังเขา”

ด้วยเหตุผลที่ว่าได้เห็นการทำงานด้าน CG สเปเชียลเอฟเฟกต์ (Special Effect ) จากเฉยๆ กลายเป็นความฝันหนุ่มชาวอุดรฯรายนี้ เขาจึงให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้มากเป็นพิเศษ ติดตามไปถึงเบื้องหลังการถ่ายทำ วิธีทำงานของเขา เริ่มไปเรียนแบบจริงจัง และเลือกสอบเอนทรานซ์เข้าสาขาที่เปิดใหม่ในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
“ตอนที่ม.ปลายที่ต้องเลือกสายคือ เลือกวิทย์คณิต แต่ว่าก็ตกวิทย์คณิตหมดเลย ตอนนั้นก็มีปัญหาช่วงการเรียน แต่ก็โชคดีไปตอนนั้นเขามีเอนทรานซ์ เขามีการเปิดคณะเกี่ยวกับพวกมัลติมีเดียแอนิเมชัน ทางภาคอีสานพอดี ผมก็สอบเอนทรานเข้าปกติ แต่ด้วยความเป็นรุ่นแรกอาจจะยังคนรู้จักไม่มาก ด้วยคะแนนเราไม่เยอะ แต่เราก็สามารถเอนทรานซ์ติดเข้าไปได้ ซึ่ง ณ ตอนนั้นก็คือเป็นสาขาสื่อนฤมิต
ตอนนั้นไม่ค่อยยาก เพราะว่าคู่แข่งน้อย เราก็เลือกมา รู้ว่าเขาเปิดก็รีบเลือกแล้วคะแนนอาจจะไม่สูงมาก แต่ก็ได้เข้าไปเรียน เริ่มเข้าไปรู้จักกับโปรแกรม 3D แล้วก็ลองทำจริงๆ ตอนที่ได้เรียนที่นี่คือมีอาจารย์ช่วยแนะนำ ตอนนั้นเริ่มแรกก็ใช้พวกโปรแกรม Maya เป็นโปรแกรมสำหรับช่างแอนิเมชัน  พื้นฐานที่ทุกคนต้องเรียน แล้วก็ใช้เวลาอยู่นั่น 2 ปี คือปี 1 และปี 2 ก็เรียนในคลาส แล้วก็กลับมาห้องก็ไปยืมหนังสือ คือสมมุติมีหนังสือที่มาจากต่างประเทศอะไรอย่างนี้ คือสมัยก่อนไม่ได้มี Youtube หรือว่ามีออนไลน์เหมือนสมัยนี้”
เรียนรู้ ฝึกฝนทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน เวลาว่างเขามักหาความรู้โดยเข้าห้องสมุด แต่ถึงอย่างไรหนึ่งในปัญหาที่เขาเจอในเรื่องการเรียนคือ เขายังสอบติด F เกี่ยวกับวิชาพวกprogramming จึงตัดสินใจลาออก ไปเรียนเฉพาะทาง ทั้งๆ ที่เรียนเข้าสู่ปีที่ 2 แล้ว
“ผมมีปัญหาเรื่องการเรียน ผมยังสอบตกพวกคำนวน ก็ติด F ติดอะไรเกือบทุกเทอม เกี่ยวกับวิชาพวก programing ก็คือรู้สึกว่า เราน่าจะเหมาะกับเราเรียนเฉพาะทางมากกว่า
ถ้าเราตัดสินใจเรียนต่อไม่น่าต่ำกว่า 6 ปี เราได้ประเมินแล้วเวลาใน 4 ปีนี้เราไปเรียนเฉพาะทางเรียนเป็นคอร์ส แล้วก็ไปหาประสบการณ์เรียน กับการทำงานจริง เรียนกับคนที่เขาทำงาน ในไทยเก่งๆ เยอะ ตามบริษัทอะไรอย่างนี้นะครับ ผมก็เลยอธิบายกับคุณพ่อ คุณแม่ สุดท้ายท่านก็เข้าใจ”


 “ผมไม่ค่อยกลัวที่จะลอง อย่างน้อยถ้ามันไม่ได้ เราได้เรียนรู้”
 

[Aquaman ภาพยนตร์สร้างชื่อ]
“ไปสมัครงานที่ไหนต้องมีวุฒิ ตอนนั้นเราลืมคิดเรื่องนี้ไป” เมื่อได้ออกจากมหา'ลัยได้ตัดสินใจไปลงเรียนที่โรงเรียนแอนิเมชันแห่งหนึ่ง โดยลืมคำนึงว่าหากไม่ได้งานที่เราต้องการ ถ้ายังคงอยู่ที่ประเทศไทย แน่นอนไม่มีบริษัทไหนรับเข้าทำงาน
ด้วยงานที่เกี่ยวกับด้านที่อยากทำไม่มีใครมอบโอกาสให้ สุดท้ายเขาได้ตัดสินใจเข้าไปทำกราฟิกทีวีกับเพื่อน เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตประจำวันโดยได้เงินวันละ 400 บาท หลังจากที่ทำกราฟิกทีวี และได้ประสบการณ์พอที่จะทำให้เขาไปต่อ กอล์ฟได้ลาออกเพื่อเข้าไปทำงานกับบริษัทเกมแห่งหนึ่ง
“ที่นี่เป็นที่ที่เขาก็ให้โอกาสและช่วยเหลือเรา เพราะที่อื่นเขาก็ไม่รับ ผมมองว่ามันมีค่า ณ ตอนนั้น หลังจากนั้นผมก็คิดว่าถึงเวลาที่จะหางานใหม่ พอเราได้ประสบการณ์บ้างจากงานตรงนี้ ผมก็ได้ไปสมัครงานทำเกมแห่งหนึ่งชื่อVirus studio
ทำพอร์ตส่งปกติ ทำพอร์ตพวกEffect ,3D รวมกันไปแล้วให้เขา บอกว่าอยากทำ Effect ตอนนั้นก็ไปสัมภาษณ์แล้ว แต่พอเขาดูผลงานเขาก็บอกว่าพอร์ตไม่ค่อยถึงเท่าไหร่เฉยๆ สำหรับเขา ผมก็เลยคุยกับเขาว่า อยากให้ทำอะไรที่รู้สึกว่ามีความเกี่ยวข้องกับงานที่เขาต้องหาคนอยู่ เขาก็บอกเลยว่าทำระเบิดมาให้ดูได้ไหม เขาบอกขอแค่นั้น ผมก็เลยตอบไปว่าได้ เลยผมตอนนั้นก็คิดว่า มันไม่มีอะไรจะเสียก็เลยกลับไปแล้วทำมา ปรากฎว่าเขาเห็นแล้วเขาก็โอเคเลยได้งานมา”
หลังจากที่ทำเกี่ยวเกม 2 ปี แล้ว กอล์ฟในวัย 24 ปี ณ ตอนนั้น เขาก็คิดว่าชีวิตได้ใกล้เคียงขึ้นกับสิ่งที่ต้องการจะทำมากขึ้นเรื่อยๆ ก็มีบริษัทหนึ่งเปิดขึ้นมาซึ่งเป็นบริษัทที่ทำหนังเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งหน้าที่ที่เขาได้รับคือการสร้างตัวละคร สร้างคาเเร็กเตอร์ให้เคลื่อนไหว ให้มีมิติ
“ผมได้เข้าไปทำภาค 3 ตอนนั้นภาค 1 ภาค 2 เขาไปจ้างบริษัทอื่นทำ พอภาค 3 ก็ได้กลับมาทำตอนนั้นผมได้เข้าไปทำในตำแหน่ง ทำ 2 อย่าง ทำพวกEffactก็คือพวก ฝุ่น ควัน ระเบิด ธนู แล้วก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ผมจำเป็นต้องทำด้วยก็คือ คราวตรูเมชัน การสร้างกลุ่มตัวละครเหมือนกับการสู้รบกัน
โดยปกติแล้วสมัยก่อน ก่อนจะมีเทคนิค เขาก็จะมีการถ่ายคนเป็นกลุ่ม แล้วก็เอามา copy ในโปรแกรมซ้อนกันไปแต่เดี๋ยวนี้มันพัฒนาไปแล้ว มันมีเทคนิคที่สามารถทำให้เราปลอมแปลงคนได้ สามารถคนให้ไปเจอคนฝ่ายตรงข้ามได้ ให้ฟัน ให้ฆ่า ก็เลยจำลองว่ามันคิดยังไง แล้วก็ลงในโปรแกรม คล้ายๆ กับในเกมเวลาที่เราลง AI แต่ว่าถูกใช้อารมณ์ ความรู้สึก ละเอียดกว่าในเกม มันจะทำให้ออกมาเหมือนจริงกว่า”
ทั้งๆ ที่ความฝันใกล้ความเป็นจริงขึ้นทุกที แต่เขาก็ได้ลาออกจากการทำ CG ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งของไทยที่ทำเกี่ยวกับภาพยนตร์หันไปทำโฆษณา ซึ่งไม่ใช่ทางความฝันที่เขาอยากจะเอื้อม แต่เป็นเพราะหากเขาได้เรียนรู้ทุกๆ ด้าน และมันสามารถเพิ่มทักษะให้เขาแกร่งขึ้นกว่าเดิม
 

อย่างภาพยนตร์อาจจะใช้เวลา 1- 2 ปี ได้ แต่งานโฆษณาต้องใช้เวลาเพียงแค่ 1 อาทิตย์เท่านั้น มันก็ทำให้ชีวิตกอล์ฟท้าทายมากยิ่งขึ้น เพราะงานโฆษณาจะต้องทำให้เสร็จภายในเวลาไม่กี่วัน เขาจึงตัดสินใจลาออกอีกครั้ง เพื่อรวบรวมไปยังฮอลลีวูดบริษัทที่เขาอยากทำตั้งแต่แรกเริ่ม
“หลังจากที่ผมทำงานโฆษณามามันก็มีจุดหนึ่งที่คิดว่าแบบเมื่อไหร่เราจะได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ เหมือนเราทำเพื่อบางช่วงของชีวิต เราพยายามแล้วแต่ว่ามันยังไม่ได้ถึงเป้าหมายเรา เราก็ต้องหาอะไรที่หล่อเลี้ยงชีวิตไปก่อน พอมาถึงจุดหนึ่งเรารู้สึกว่าแบบมันพออยู่ได้แล้ว พอมีเงินเก็บบ้างเราก็เลยตัดสินใจส่งผลงานที่เรามีนี้แหละครับ ที่เราทำในไท เรารวบรวมส่งไปยังฮอลลีวูด 
ในรอบนี้ไม่มีที่ไหนตอบกลับเลย คือได้รับแต่พวกอีเมลที่ตอบมาอัตโนมัติ เลยรู้ว่างานของเราไม่ถึง เราก็กลับมาพัฒนางานของตัวเอง แล้วก็มีผลงานอย่างหนึ่งที่เราอยากทำ และเราทำได้เหมือนกัน ก็คือการทำ คราวตรูเมชัน เราอยากให้มันแบบเหมือนในเรื่องลอร์ดออฟเดอะริงเลย ก็คือเราต้องทำคนเดียว ณ ตอนนั้น เราก็หยุดงาน หยุดอะไรหมดเลย แล้วใช้เวลาประมาณ 4 เดือนเพื่อทำผลงานช็อตลอร์ดออฟเดอะริง นะครับ 
พอทำเสร็จผมก็ส่งอีเมลผลงานตัวนี้ไปหา คุณสตีเว่น เขาคือคนที่คิดค้นซอฟท์แวร์ในการทำกองทัพในเรื่อง ลอร์ดออฟเดอะริง
แต่ว่าตอนนั้นเขาเข้ามาเปิดบริษัทในไทย ซึ่งผมเคยเจอเขาตอนที่ได้ทำภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร ตอนนั้นเขาได้เข้ามาช่วยดูด้วย ผมส่งไปปรึกษาเขาว่าผมส่งไปแล้วแบบไม่ทราบว่าคุณมี บริษัทที่ทำด้านนี้อีกมั้ย เพราะผมไม่ได้รับการตอบรับเลย เขาก็เลยดูผลงาน และเรียกเข้าไปคุยกันก่อน เขาบอกให้เข้าไปทำกับเขาก่อน”
จากการชักชวนทำให้เขาได้ปลี่ยนเส้นทางมาทำบริษัทซอฟต์แวร์ เพื่อการสร้างหนังในฮอลลีวู ดซึ่งใกล้ความจริงที่เขาตั้องการขึ้นเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่ทำคือการผลิตเพื่อให้หนังฮอลลีวูดนำไปใช้
“แต่มันก็มีจุดหนึ่ง เราทำได้ประมาณ 2 ปีกว่า เราได้ข้อความจาก HR ของบริษัท Industrail Light & Magic เขาก็มาถามว่าคุณรู้จักใครที่ทำด้านนี้ไหม เรากำลังหาคนอยู่
แล้วเขาถามว่าผมคิดยังไง ผมก็อยากลองสมัครนะ แต่ตอนนั้นผมพูดไปก็ไม่ได้คิดอะไร เขาก็บอกว่าส่งผลงานมาได้ไหม ก็ส่งที่เราทำไป ตั้งแต่ที่เราทำแรกๆ ส่งไปจากนั้นเขาก็ตอบกลับมาเลย งั้นเราจะให้คุณสัมภาษณ์นะ ตอนนั้นก็ตกใจครับ ไม่รู้ว่าเขาพูดจริง หรือพูดเล่น เพราะเราไม่เคยได้รับการสัมภาษณ์ไม่รู้ขั้นตอนมัน
กลายเป็นว่าอีก 2-3 วันถัดมาเราต้องสัมภาษณ์ ภาษาอังกฤษตอนนั้นก็ไม่ค่อยได้ เราก็ใช้วิธีจดเอาแล้วก็ท่อง พอถึงเวลาสัมภาษณ์ก็สัมภาษณ์ไป แล้วสื่อสารกับเขาไม่รู้เรื่อง แต่โชคดีอีกอย่างหนึ่งก็คือมีพี่ที่ทำอยู่แล้วเป็นคนไทยอยู่ ตอนนั้นเขามาช่วยแปลให้ แล้วเขาก็เข้าใจ เหมือนกับว่ายอมรับเราได้ เขาก็ถามมาเรื่อย ถามข้อมูลมา จนกระทั่งได้อีเมลอีกครั้งถึงรู้ว่าอ้าวได้แล้ว ก็ตกใจว่าอ้าวนี่มันได้แล้วเหรอ”


ชอบในสิ่งใด..ไปให้สุด
 
[The Great Wall เรื่องแรกที่ได้มีโอกาสทำ]

หลังจากที่ล้มเหลวกับการส่งผลงานแล้วรู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เขาก็เข้าใจความจริงประมาณนึงว่าต้องอยู่กับความจริง ต้องเผื่อใจไว้ เผื่อความฝันเราไม่เป็นจริง
“มันก็จะแบบนึกถึงแบบเฮ้ย! มันเป็นจริงแล้ว คือเราไม่ได้เตรียมตัวว่าวันหนึ่งมันมาถึงแล้ว จากที่เราคิดว่าแบบ คือมันมาไกลที่สุดคือการทำบริษัทซอฟ์ตแวร์เรื่องแรกก็เรื่องเดอะเกรทวอลครับ กำแพงเมืองจีน ก็ได้ทำฝูงสัตว์ประหลาด  

ตอนนั้นคิดว่ามาทำสักเรื่องแล้วกลับก็ไม่เสียดายล่ะ ปรากฎว่าเขาโอเค แล้วทางหัวหน้าเขาก็ให้โอกาสให้ทำเรื่องต่อไป คือReady Player Oneเป็นของคนที่เราดูหนังเขามาตั้งแต่เด็ก ก็ทำกลุ่มตัวละครเหมือนกัน ต่อมาก็ทำเรื่อง Transformers ผมทำช็อตเปิดที่มันเป็นซีเควนซ์ที่สู้รบกัน ส่วน Avenger The war ผมทำช่วงตอนที่เป็นสู้รบในวาคันด้า และล่าสุดคือ Aquaman”
 

 

 

แม้ว่าการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ แต่เขายังคงเชื่อเรื่องของการดูแลคนรอบข้าง เป้าหมาย ความฝัน ต้องดูแลควบคู่กันไป อย่างชัดเจน
“ณ ตอนนี้ผมคิดว่าเรื่องของการเรียนเพิ่มเติม หรือศึกษาด้วยตัวเอง การฝึกฝนคือสิ่งสำคัญมาก เพราะว่างานด้านนี้เปลี่ยนแปลงตลอดทุกปี ก็อยากบอกน้องๆ ว่าหมั่นฝึกฝนตัวเอง และพยายามพัฒนาเปิดโลกให้กว้าง เพราะมันเป็นยุคของการเรียนรู้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม อีกอย่างหนึ่งอยากจะฝากเรื่องการตั้งเป้าหมาย มีหลายๆ คนส่งข้อความมาว่าอยากทำให้ได้ในระดับนี้ อยากจะบอกว่าเวลาเรามีเป้าหมายที่ใหญ่นะครับ แน่นอนเลยมันจะเป็นระยะทางที่ไกลกว่าคนปกติ”
แม้ที่ผ่านมาชีวิตการทำงานยังไม่โชติช่วงเท่าไหร่นัก แต่กอล์ฟก็ไม่ละทิ้งความชอบที่เคยมี จนวันหนึ่งความฝันที่เขาฝันตั้งแต่วัยเด็กเป็นจริงขึ้นมา เขายังทิ้งท้ายให้ฟังอีกว่า อย่าละความมุ่งมั่น และความเชื่อในตัวเอง ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ หากเราตั้งใจ และศรัทธาในเป้าหมายของเรา
“ส่วนใหญ่เราต้องเจออะไรที่ทำให้ไขว้เขวเยอะ อยากให้เรามีความเชื่อหรือว่ามีความมั่นใจ หรือศรัทธาในเป้าหมาย หรือความฝันของเรา ว่ามันเป็นจริงแน่ล่ะ แต่ไม่รู้ว่าวันไหนแค่นั้นเอง อย่างเมื่อก่อนเราคิดว่าเราอาจจะได้ทำหนังฮอลลีวูด อายุสัก 50 ปี ก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยทุกปีจะต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ครับ 
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ได้รับข้อความมาไม่สามารถตอบได้หมดทุกคน มันค่อนข้างเยอะ เราเป็นกำลังใจให้อยากให้นอกจากความพยายาม หรือว่าความมุ่งมั่น เราอยากให้เพิ่มในเรื่องของการใส่ใจของคนรอบข้างเรา เพราะว่ามีบางช่วงในสมัยวัยรุ่นที่พี่ก็มุ่งมั่น มีแต่ความฝันอยากจะทำให้ได้ 
เราอาจจะหลงลืมคนรอบข้างไป แต่ถ้าวันหนึ่งน้องๆ โต คิดว่าน้องๆ จะเข้าใจมากขึ้นว่า ในวันที่เราประสบความสำเร็จมากขึ้น พ่อแม่เราก็แก่ขึ้นเรื่อยๆ มีอายุเพิ่มขึ้น ก็อยากฝากตรงนี้เพิ่มเหมือนกันนะครับว่า วัยรุ่นหรือน้องๆ ทุกคน อย่าลืมจุดนี้ด้วยเหมือนกันครับ”



สัมภาษณ์ : รายการพระอาทิตย์ Live
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ภาพ : FB วงศกร วอนสะกง

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

โลกเสมือน ฝีมือสยาม 'ภัสวิชญ์ จริตงาม' Visual Effect เบื้องหลังภาพยนตร์ระดับบ็อกซ์ออฟฟิศ

(http://www.judprakai.com/talk/783?utm_source=homepage&utm_campaign=bangkokbiznews)


จุดประกาย

โลกเสมือน ฝีมือสยาม 'ภัสวิชญ์ จริตงาม' Visual Effect เบื้องหลังภาพยนตร์ระดับบ็อกซ์ออฟฟิศ

November 24, 2018
by ปริญญา ชาวสมุน
เบื้องหลังฉากไล่ล่าสุดอลังหรือการต่อสู้ของตัวละครเหนือมนุษย์ คือหนุ่มไทยผู้เนรมิตสิ่งที่อยู่ในจินตนาการให้กลายเป็นความสมจริงของหนังดังหลายเรื่อง
ถึงจะไม่ใช่คนไทยคนเดียวที่ไปแสดงฝีมือในวงการภาพยนตร์ระดับโลก แต่เขาคือคนหนึ่งที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของกระบวนการผลิตหนังที่หลายคนปรามาสว่า คนไทยไม่ค่อยมีความสามารถด้านการทำ Visual Effect ให้สมจริง ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังไทยและละครไทยหลายเรื่องยังเป็น ‘งานหยาบ’ อย่างเขาว่า
แต่การที่หนุ่มไทยวัย 30 ปี ไปประกาศศักดาในต่างแดนด้วยผลงานภาพยนตร์ดังหลายเรื่อง แต่ละเรื่องคือระดับท็อปของบ็อกซ์ออฟฟิศและคนไทยเองก็รู้จักดี อาทิ Doctor Strange, Spider Man, Underworld เป็นต้น กว่าที่คนไทยจะไปแปะชื่อตัวเองให้โลกรู้ตรง End Credit นั้นยากแค่ไหน การทำงานกับยอดฝีมือจนสำเร็จเป็นหนังดังเป็นอย่างไร และวงการ Visual Effect ของไทยที่ใครๆ ก็ดูแคลนจะมีอนาคตแบบใดในสายตาของเขา จุดประกายอาสาพาไปท่องโลกเสมือนที่มีอยู่จริงของ อ๋อง - ภัสวิชญ์ จริตงาม
  • สิ่งที่ทำอยู่คืออะไร
ส่วนใหญ่คนไทยอาจจะคุ้นกับคำว่า CG (Computer Graphic) ในด้านของเราเรียกว่า Visual Effect ในตำแหน่งที่ผมทำอยู่จริงๆ คือ Digital Compositor โดย visual effect ไม่ใช่ animation ที่เราเข้าใจกัน แต่ visual effect จะเป็นเหมือนพวกหนังของ Marvel หรือหนังเรื่อง Transformer คือมีคนมาแสดงด้วย มี CG สัตว์ประหลาดด้วย เพราะ digital compositor จะเป็นคนปิดฉาก เป็นกระบวนการสุดท้ายของ visual effect เช่นถ้ามีสัตว์ประหลาด มีตากล้องถ่ายคนแบบ green screen มา ผมก็จะเอามารวมกันให้ดูสมจริง ถ้าคุณดูหนังแล้วเห็นว่ามันลอยๆ คุณอาจจะมาตำหนิตำแหน่งผมได้ เพราะผมมีหน้าที่ปิดฉาก ต้องทำให้มันเนียนที่สุด
ก้าวแรกบนถนนสายนี้?
จริงๆ แล้วทุกวันนี้มันยากมาก ยิ่งเข้าไปทำงานในอเมริกา ผมคิดแล้วว่าหลายร้อยหลายพันคนอยากเข้ามา ก็ต้องเก่งต้องมาแย่งมาชิงกันเพื่อที่จะเข้าไปให้ได้ จริงๆ วงการนี้อยู่ยาก แต่การจะเริ่มเข้าไปให้ได้นั้นยากกว่า ผมก็คิดแล้วว่าจะทำอย่างไรให้เป็นหนึ่งในหลายร้อยหลายพันคนที่เหลือรอดได้ จึงไปค้นหาข้อมูลจากคนที่ทำอยู่ในวงการเพื่อดูว่าไอ้คนที่ทำในวงการนี้ ตัวอย่างผลงานเป็นอย่างไร เราก็ทำตามก่อนจะเรียนจบหนึ่งปี ทำเป็นปริญญานิพนธ์ของตัวเอง คล้ายใส่ความเป็นไทยเข้าไปด้วย ก็เลยได้รางวัลที่ 1 ของมหาวิทยาลัยปีนั้น พอได้รางวัลมาแล้วเหมือนใบเบิกทางให้เข้าไปทำงานบริษัทใหญ่หลังเรียนจบทันทีครับ
  • คณะที่เรียน?
ผมเรียน Animation and Visual Effect มหาวิทยาลัย Academy of Arts University ที่ San Francisco จริงๆ ผมเรียนที่ไทยเป็นวิทยาการคอมพิวเตอร์ก่อน เรียกว่า Computer Science ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี แต่ว่าก่อนจะจบ เรารู้สึกว่าอาจไม่ใช่หนทางเท่าไร ผมเลยดูว่าจริงๆ แล้วสิ่งผมชอบคืออะไรมากกว่า ตั้งแต่เด็กแล้ว Visual Effect สำหรับคนไทยอาจจะดูเป็นเรื่องไกลตัว ผมก็เลยลองค้นหาดู และตอนนั้นก็มีความคิดอยู่แล้วว่าอยากจะเรียนต่อเมืองนอกตอนปริญญาโท พอเจอคณะนี้ ก็ลองสมัครไปดู
  • ทำงานที่อเมริกานานแค่ไหน
ประมาณ 7 ปีได้แล้ว คือเรียนก่อนแล้วทำงานทีหลัง 7 ปี แต่ได้ทำงานที่คนเริ่มรู้จักจริงๆ คือ 4-5 ปีหลัง โดยทำงานกับหลายบริษัท คืองานด้านนี้เป็นงานฟรีแลนซ์ แต่มันไม่ใช่งานฟรีแลนซ์อย่างที่คนไทยเข้าใจนะ มันไม่ใช่รับทำอยู่ที่บ้าน ฟรีแลนซ์ในที่นี้คือ contractor คือทำงานจบหนังเรื่องนี้ปุ๊บถ้ามีงานทำก็ extend contract ต่อ ถ้าไม่มีก็ไปทำงานบริษัทอื่นต่อ เช่นบริษัทที่ทำหนัง Avatar บริษัทที่ชื่อ LLumar ที่ทำพวกหนัง Marvel เป็นส่วนใหญ่ เช่น Doctor Strange, Spider Man, Underworld แล้วมีเข้าไปทำที่ Disney ด้วย
  • ผลงานที่ผ่านมา?
หลายสิบเรื่องแล้วเหมือนกัน ตอนนี้ประมาณ 30 กว่าชิ้น มีทั้งภาพยนตร์, ซีรีส์ และโฆษณาครับ ถ้าคนไทยรู้จักน่าจะเป็น Doctor Strange, Spider Man, Alien ประมาณนี้ ส่วนซีรีส์ทางทีวีที่ไทยก็ฉายอยู่ Lethal Weapon, Training day ที่เคยฉายไปก็มี Gotham, Agent of S.H.I.E.L.D อะไรทำนองนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ฉายในไทย
  • ในหนังแต่ละเรื่อง ทำอะไรบ้าง
เป็นคนปิดฉากโปรเจค ไม่ใช่ทั้งเรื่อง อย่างทำหนังพวกนี้มีบริษัท Visual Effect อีกหลายบริษัท เขาจะแจกจ่ายงานให้ตามบริษัทที่ถนัดผลิตด้านไหน อย่างบริษัทนี้เก่งเรื่องทำน้ำ ก็ทำน้ำอย่างเดียว เช่น Doctor Strange ผมก็ทำฉากตอนที่สู้กันบนตึก ที่เป็นตึกบิดเบี้ยว ตอนในโบสถ์ที่บิดเบี้ยวเหมือนกัน และตอนท้ายที่เป็น dark vision เข้าไปในมิติมืดย้อนเวลาไปย้อนเวลามา
ส่วน Spider Man คือฉากที่ไล่โจรอยู่ มีการยิงไยไปแล้วไถลไปตามพื้น กับอีกฉากหนึ่งที่เปลี่ยนชุดแล้ววิ่งเข้าไปในซอยตอนต้นเรื่อง ในฉากนั้นจริงๆ เป็นกรีนสกรีนหมดเลย และ Spider Man ใส่ชุดปลอมอยู่ ก็ต้องไปลบชุดปลอมออก และใส่ชุด CG เข้าไป Spider Man ที่เราเห็นจริงๆ เป็น CG
  • จากกรีนสกรีนกลายเป็น CG ในหนัง?
มันมีหลายทีม ผมจะเอาฉากสีเขียวออกแล้วใส่ตรงนั้นเข้าไปในฉากหลัง และหาวิธีการที่จะทำให้กลมกลืนกันมากที่สุด อย่างเช่นถ้าจะมีสัตว์ประหลาดมาก็ต้องมีคนปั้นก่อน ก็ต้องมีอีกทีมหนึ่งลงไลน์สัตว์ประหลาด ทำให้สัตว์ประหลาดเคลื่อนไหวก็ต้องมีตำแหน่งที่เรียกว่า Animator คือคนไทยจะเข้าใจคำว่า Animation แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของ whole process Animator คือคนที่จะทำให้สัตว์ประหลาดเคลื่อนไหว ทีนี้ก็ต้องมีคนจัดแสงเรียกว่าพวก Lighter ของผมก็เอามารวมกัน ส่วนผมก็เอาทุกอย่างมารวมกัน เรนเดอร์ออกมาปุ๊บแล้วเอาคนมาใส่ เอาสัตว์ประหลาดมาใส่ เอามาเกลี่ย อารมณ์เหมือนโฟโต้ชอปแต่ทำให้มันเคลื่อนไหวไปด้วย ถ้าโฟโต้ชอปเป็นภาพนิ่งแต่ในหนัง 1 วินาทีจะมี 24 เฟรม ส่วนผมก็ต้องทำทุกๆ เฟรมให้ต่อเนื่องกัน
  • กว่าจะได้หนึ่งซีนนานแค่ไหน
นานครับ คือเป็นอาทิตย์ เป็นเดือนก็มีเหมือนกัน ถ้านานที่สุดเท่าที่เคยทำกันมามี Underworld ที่สู้กันในพง เป็นมนุษย์หมาป่ากับนางเอก อันนั้นทำไปประมาณ 3 อาทิตย์ คัดออกมาแล้วเหลือประมาณ 2 วินาที คือมันละเอียดขนาดนั้น เขาซูมกันทุกๆ pixel ถ้า pixel มันพลาดไปก็ตามกลับไปแก้ใหม่ คือที่นั่นไม่เคยมีคำว่าดีพอ มันต้องดีกว่า แต่ถามว่ามันดีไปได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าระยะเวลามีแค่ไหน ถ้ามีเวลาก็ใส่รายละเอียดเข้าไป เพราะฉะนั้นหนังมันถึงออกมาดูดี คนถึงดูไม่รู้ว่ามันเป็นของปลอม ความสำเร็จสำหรับอาชีพของผมคือถ้าคนดู ดูแล้วไม่รู้ว่าเป็นของปลอม คือผมประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งมันเหมือนเป็น spirit ของคนทำด้วย ไม่มีใครคิดว่าได้แค่นี้ก็ดีแล้ว มันยังมีสิ่งที่ดีได้กว่านี้อีก
46508630_2037396302985838_8414514641434050560_o
  • ความสนใจเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร
จริงๆ เป็นคนดูหนังฝรั่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว ดู Jurassic Park ตั้งแต่ 4-5 ขวบ แต่ว่าไม่ได้ดูเฉยๆ คิดว่าเขาทำอย่างไร เวลาไปเช่าวิดีโอแล้วมีอีกม้วนหนึ่งแถมมาเป็นเบื้องหลัง อย่างเรื่อง Van Helsing เอานักแสดงเข้าไปแล้วแสกนหน้าสามมิติตั้งแต่หลายสิบปีก่อน เฮ้ย มันไม่ใช่หน้าคนจริง มันเป็นหน้า CG ผมสนใจทางด้านนี้ตลอดว่าเขาทำอย่างไร แต่มันไม่มีคำตอบ ผมจบปริญญาตรีก็ไม่มีคำตอบในเมืองไทยว่าทำอย่างไร จนได้ไปดู tutorial ใน Youtube ตอนนั้นเพิ่งมี Youtube ใหม่ๆ ก็ลองดู เออ ทางนี้เป็นอะไรที่เราทำไปได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อ ซึ่งมันสำคัญมาก”
  • อยู่จุดนี้ คือฝันที่เป็นจริง?
ผมไม่คิดอย่างนั้น แต่แค่คิดเล่นๆ ผมดูหนังบางเรื่องจะมี Secret Ending ตอนท้าย แล้วผมก็ต้องมานั่งรอดูว่ามี Secret Ending ตอนท้ายหรือเปล่า แล้วเราก็เห็นชื่อ Credit มา ไม่มีชื่อคนไทย คิดว่าถ้ามันมีชื่อคนไทยยาวๆ แปะอยู่คงเก๋ดี แต่ไม่เคยคิดว่าจะเอาชื่อตัวเองไปแปะไว้ แค่ความคิดเล่นๆ อย่างที่บอก สำหรับเด็กไทยคนหนึ่งก็ดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป
…ทุกวันนี้ดูผมยังดู End Credit นะ ถ้าชื่อยาวๆ มาก็ดูว่าเป็นชื่ออินเดียหรือคนไทย
  • งานด้านนี้มีคนไทยไปทำเยอะไหม
ทางด้านผม ผมไม่แน่ใจ ผมว่ามีอยู่แต่น้อยมากจนหากันไม่เจอ มันเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร มันไม่เหมือนของพวกเกาหลี ไต้หวัน เกาหลีนี่เยอะ ไปก่อตั้ง community เป็นพันๆ คนเลย แต่คนไทยแทบไม่เจอ
  • มองวงการ CG บ้านเรา?
ผมว่ามันมีการพัฒนา แม้จะไม่ได้สุดยอดแบบที่โน่น แต่มีการพัฒนา อย่างเช่นเรื่อง The Pool นรก 6 เมตร ที่มีการใส่ CG จระเข้เข้าไป มันคือการพัฒนา ก็สนับสนุนคนทำต่อไป ผมว่าสิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้มีทั้งผู้ให้และผู้รับ ถ้าเราเอาหนังที่มีคุณภาพต่ำๆ ไปฉายทางทีวีที่นู่นคนก็ไม่ดูกัน ถ้าเราเอาหนัง CG แย่ๆ หรือหนังเก่าๆ 10 ปีที่แล้วมาฉาย แล้วเรายังดูกันได้ มันต้องเกิดจากผู้รับด้วย ทำอย่างไรให้คนดูมีรสนิยมที่สูงขึ้น เรียกร้องอยากจะดูของที่มีคุณภาพ ไม่ใช่เอาอะไรมาให้ดูก็ได้ อาจจะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ผลิตมีกำลังใจ เงินทุนก็สำคัญ แต่ถ้าคนไม่ดู ผู้ผลิตก็ต้องทำสิ่งที่น่าสนใจ สิ่งที่ดีกว่าให้คนดู
  • คนไทยเองยังคิดว่า animation ไทย หรือ CG ไทย จะห่วยเสมอ?
มันเป็นเรื่องของความเป็นชาตินิยม ของไทยอาจจะโดนปลูกฝังความเป็นชาตินิยมแบบผิดๆ ผมว่ารากของปัญหาคือเรื่องชาตินิยม ซึ่งทำอย่างไรให้คนดูเราแล้วมันเป็นของไทย สิ่งที่ควรสนับสนุนไทย ดูอย่างสินค้าที่มีชื่อญี่ปุ่นขายได้ ฝรั่งมาขายได้ ซึ่งกระแสไทยมาก็ดีนะ โปรโมทออเจ้า อันนี้เป็นสิ่งดี ทำให้ใส่ชุดไทยออกไปงานได้โดยรู้สึกดี ความเป็นชาตินิยมสำคัญ ปลูกฝังความเป็นชาตินิยมให้ถูกต้องนี่สำคัญมากกว่า ไม่ใช่ความนิยมที่แบบ animation กี่เรื่องก็มีแต่ยักษ์ ลิง ยักษ์ ลิง ทำให้มันสากลได้ 
อย่างปริญญานิพนธ์ที่ผมทำเกี่ยวกับทศกัณฑ์ ไม่โชว์ความเป็นไทยเลยนะ ทำให้มันอินเตอร์หน่อย ก็จะมีคำไทยนิด ไม่ใช่ยักษ์จ๋า ลิงจ๋า ลายกนกนิดๆ ทำให้มันดู modern หน่อย อย่างเรื่อง 9 ศาสตรา ทรงผมไทยก็ทำให้ดูดีได้นี่หว่า ไม่จำเป็นว่าทำหนังไทยประมาณนี้อย่างหนังญี่ปุ่น เกาหลี หนังซามูไร เขาก็ย้อมผม ทำทรงผมสมัยใหม่มา ทำอย่างไรให้วัฒนธรรมของเราเป็น Pop culture ให้มันขายได้ ซามูไรกับนินจาเป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นลบล้างไปเอง เขาเป็นคนกวาดล้าง แต่เขาก็เอามันกลับมาใหม่แล้วทำให้มันเป็น Pop culture แล้วขายไปได้ทั่วโลกได้
  • ทำงานกับมืออาชีพ สอนอะไรบ้าง
มันได้มาตรฐานแน่นอน เช่น คือมันไม่มีคำว่าแค่นี้ก็ดีแล้ว ทำอย่างไรให้มันออกมาได้ดีกว่า ให้มันสมจริงที่สุด ถามว่าผมได้อะไร คือมันเป็นการทำให้ตัวเราขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงกว่า เป็นสิ่งที่ผมพยายาม Mentor เคยบอกผมว่า You should be surround by the people that better than you เราควรอยู่ท่ามกลางบุคคลที่สูงและเหนือกว่าเรา ไม่ควรจะไปอยู่กับคนที่มีความสามารถใกล้เคียงหรือต่ำกว่าเรา เพราะถ้าเราไปอยู่ในจุดที่คนมีความสามารถมากกว่าเราเมื่อไร ทำให้ตัวเราดึงดูดเข้าไปหาเขา พัฒนาตัวเองให้ไปอยู่ถึงจุดที่เขาอยู่ได้ ทำให้ตัวเราพัฒนาไปได้เรื่อยๆ มากกว่า
  • ได้ยินมาตลอดว่า งานละเอียดอ่อนเหมาะกับคนไทย แต่กับงาน CG ที่ละเอียดจริงๆ กลับไม่ค่อยมีชื่อคนไทยปรากฏ?
คนไทยอาจคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลสำหรับเขา การทำงานอย่างนี้เป็นเรื่องยาก เขาเลยไม่ไปกันมั้ง แต่สิ่งสำคัญคือการสนับสนุนเรื่องเงินเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเป็นเพื่อนเกาหลี อเมริกานี่แม้ค่าเรียนจะแพงมาก เขาสามารถเรียนโดยมีกองทุนสนับสนุน แต่ว่าของไทยจะสนับสนุนแต่ทุนทางด้านวิทยาศาสตร์ ทุนทางเรียน visual effect ไม่มี อาจจะมีคนไปไม่เยอะมากเท่าด้านอื่นๆ ซึ่งถ้าเป็นคนอเมริกา เกาหลี อยากเรียนอะไรก็ได้เรียน
  • หากมีคนอยากจะเดินตามรอย มีอะไรแนะนำบ้าง
ถ้าคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ใช่แล้ว ก็ตั้งเป้าหมายไว้ให้แน่นอนแล้วพยายามไปให้ถึง อุปสรรคมันจะมีมามากอยู่แล้วระหว่างทาง แต่ถ้าเรามีเป้าหมายที่แน่นอน ความพยายามของเราจะผลักดันตัวเราให้ไปถึงจุดนั้นเอง อย่างผมก็เคยท้อแท้ ตอนเริ่มงานใหม่ๆ ทำไมต้องทำงานดึกๆ อย่างนี้ ทำไมทำออกมาเขาก็ไม่ชมสักที แต่ผมอยากให้ย้อนนึกถึงความตั้งใจของวันแรกที่เราลงมือทำมากกว่า วันแรกของเราที่อยากจะทำไปด้านนี้จริงๆ เป็นอย่างไร
..............
สิ่งที่ Digital Compositor หนุ่มคนนี้ทำอยู่ คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่าคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก และวงการ Visual Effect ของไทยจะไม่ขายหน้าใคร ถ้าตั้งเป้าหมายและตั้งใจทำจริงๆ
46517259_2037396346319167_6141206967265263616_o
46736744_2037396246319177_4064212910937735168_o
46686546_2037396419652493_267751293479550976_o