“ผมไม่ค่อยกลัวที่จะลอง อย่างน้อยถ้ามันไม่ได้ เราได้เรียนรู้” กอล์ฟ วงศกร CG พลิกชีวิตสู่ฮอลลีวูด
เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: ผู้จัดการออนไลน์
สุดเจ๋ง! ฝีมือคนไทย “กอล์ฟ-วงศกร จินบุญยโชติ” จากเด็กที่ดูหนังกลางแปลงต่างจังหวัด ตัดสินใจไม่เรียนต่อ เพื่อก้าวตามฝันทำงานระดับฮอลลีวูด ล่าสุดทำ CG ภาพยนตร์ดัง "Aquaman” มหากาพย์หนังฮีโร่ของค่าย ดีซี ที่เพิ่งทำรายได้อย่างมหาศาล
ตัดสินใจไม่เรียนมหา'ลัยมุ่งเข้าหาฝัน!!
กอล์ฟได้เล่าเรื่องราวชีวิตเมื่อเปิดอีเมลเห็นข้อความจากบริษัทชื่อดังที่เขาใฝ่ฝันที่อยากเข้าไปทำงานด้วยแววตาที่ดีใจ และได้ฉายภาพวัยเด็ก เมื่อ20ปีก่อนให้ฟัง ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะมีวันนี้ วันที่เข้าไปทำงาน และทำตามความใฝฝันให้สำเร็จ จนได้เป็นเบื้องหลังให้กับภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง ได้แก่ The Great Wall , Ready Player One ,Transformers , Avenger : Infinity War และล่าสุด Aquamanที่ทำให้คุณกอล์ฟเป็นที่รู้จัก ทั้งคนไทย และในโซเชียลฯ เพราะได้โพสต์ภาพพาพ่อแม่ไปดู จนมีการแชร์และพูดถึงมากมาย
[พาพ่อ และแม่มาดูผลงานของตนเอง]
ย้อนกลับไปตอนนั้นเขาได้มีโอกาสดูหนังกลางแปลงในเรื่อง "คนเหล็ก ภาค2” ด้วยความสงสัย และสนใจกับสิ่งที่ได้เห็น หลังจากนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาได้หันมาคลุกคลี สนใจงานเบื้องหลังมากขึ้น และได้ก้าวเข้ามาทำCGจนถึงปัจจุบัน
“มันเริ่มจากสมัยเด็กๆ มันมีภาพยนตร์เรื่อง คนเหล็ก ภาค 2 แต่สมัยนั้นตามต่างจังหวัดเป็นหนังกลางแปลง สมัยนั้นเราก็ดูแล้วเราก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่รู้จักว่าคืออะไร มันมีตอนที่เหมือนว่าเป็นตัวโกง หลอมกลายเป็นคน เราก็คิดว่ามันมหัศจรรย์มาก ใครที่ทำได้แบบนั้น เราก็คิดว่าเขาคงมีวิธีทำเหมือนทำจากของจริงอะไรอย่างนี้
เราได้มีโอกาสดูเบื้องหลัง ก็นั่งดูทีวี นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้รู้ว่ามีการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยสร้าง คือเราก็ได้รู้จักบริษัท Industrail Light & Magic ที่ผมทำจนถึงทุกวันนี้ พอผมรู้ว่าต้องใช้คอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมชอบหนังประเภทนี้ แล้วก็ติดตามดูเบื้องหลังเขา”
ด้วยเหตุผลที่ว่าได้เห็นการทำงานด้าน CG สเปเชียลเอฟเฟกต์ (Special Effect ) จากเฉยๆ กลายเป็นความฝันหนุ่มชาวอุดรฯรายนี้ เขาจึงให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้มากเป็นพิเศษ ติดตามไปถึงเบื้องหลังการถ่ายทำ วิธีทำงานของเขา เริ่มไปเรียนแบบจริงจัง และเลือกสอบเอนทรานซ์เข้าสาขาที่เปิดใหม่ในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
“ตอนที่ม.ปลายที่ต้องเลือกสายคือ เลือกวิทย์คณิต แต่ว่าก็ตกวิทย์คณิตหมดเลย ตอนนั้นก็มีปัญหาช่วงการเรียน แต่ก็โชคดีไปตอนนั้นเขามีเอนทรานซ์ เขามีการเปิดคณะเกี่ยวกับพวกมัลติมีเดียแอนิเมชัน ทางภาคอีสานพอดี ผมก็สอบเอนทรานเข้าปกติ แต่ด้วยความเป็นรุ่นแรกอาจจะยังคนรู้จักไม่มาก ด้วยคะแนนเราไม่เยอะ แต่เราก็สามารถเอนทรานซ์ติดเข้าไปได้ ซึ่ง ณ ตอนนั้นก็คือเป็นสาขาสื่อนฤมิต
ตอนนั้นไม่ค่อยยาก เพราะว่าคู่แข่งน้อย เราก็เลือกมา รู้ว่าเขาเปิดก็รีบเลือกแล้วคะแนนอาจจะไม่สูงมาก แต่ก็ได้เข้าไปเรียน เริ่มเข้าไปรู้จักกับโปรแกรม 3D แล้วก็ลองทำจริงๆ ตอนที่ได้เรียนที่นี่คือมีอาจารย์ช่วยแนะนำ ตอนนั้นเริ่มแรกก็ใช้พวกโปรแกรม Maya เป็นโปรแกรมสำหรับช่างแอนิเมชัน พื้นฐานที่ทุกคนต้องเรียน แล้วก็ใช้เวลาอยู่นั่น 2 ปี คือปี 1 และปี 2 ก็เรียนในคลาส แล้วก็กลับมาห้องก็ไปยืมหนังสือ คือสมมุติมีหนังสือที่มาจากต่างประเทศอะไรอย่างนี้ คือสมัยก่อนไม่ได้มี Youtube หรือว่ามีออนไลน์เหมือนสมัยนี้”
เรียนรู้ ฝึกฝนทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน เวลาว่างเขามักหาความรู้โดยเข้าห้องสมุด แต่ถึงอย่างไรหนึ่งในปัญหาที่เขาเจอในเรื่องการเรียนคือ เขายังสอบติด F เกี่ยวกับวิชาพวกprogramming จึงตัดสินใจลาออก ไปเรียนเฉพาะทาง ทั้งๆ ที่เรียนเข้าสู่ปีที่ 2 แล้ว
“ผมมีปัญหาเรื่องการเรียน ผมยังสอบตกพวกคำนวน ก็ติด F ติดอะไรเกือบทุกเทอม เกี่ยวกับวิชาพวก programing ก็คือรู้สึกว่า เราน่าจะเหมาะกับเราเรียนเฉพาะทางมากกว่า
ถ้าเราตัดสินใจเรียนต่อไม่น่าต่ำกว่า 6 ปี เราได้ประเมินแล้วเวลาใน 4 ปีนี้เราไปเรียนเฉพาะทางเรียนเป็นคอร์ส แล้วก็ไปหาประสบการณ์เรียน กับการทำงานจริง เรียนกับคนที่เขาทำงาน ในไทยเก่งๆ เยอะ ตามบริษัทอะไรอย่างนี้นะครับ ผมก็เลยอธิบายกับคุณพ่อ คุณแม่ สุดท้ายท่านก็เข้าใจ”
“ผมไม่ค่อยกลัวที่จะลอง อย่างน้อยถ้ามันไม่ได้ เราได้เรียนรู้”
[Aquaman ภาพยนตร์สร้างชื่อ]
“ไปสมัครงานที่ไหนต้องมีวุฒิ ตอนนั้นเราลืมคิดเรื่องนี้ไป” เมื่อได้ออกจากมหา'ลัยได้ตัดสินใจไปลงเรียนที่โรงเรียนแอนิเมชันแห่งหนึ่ง โดยลืมคำนึงว่าหากไม่ได้งานที่เราต้องการ ถ้ายังคงอยู่ที่ประเทศไทย แน่นอนไม่มีบริษัทไหนรับเข้าทำงาน
ด้วยงานที่เกี่ยวกับด้านที่อยากทำไม่มีใครมอบโอกาสให้ สุดท้ายเขาได้ตัดสินใจเข้าไปทำกราฟิกทีวีกับเพื่อน เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตประจำวันโดยได้เงินวันละ 400 บาท หลังจากที่ทำกราฟิกทีวี และได้ประสบการณ์พอที่จะทำให้เขาไปต่อ กอล์ฟได้ลาออกเพื่อเข้าไปทำงานกับบริษัทเกมแห่งหนึ่ง
“ที่นี่เป็นที่ที่เขาก็ให้โอกาสและช่วยเหลือเรา เพราะที่อื่นเขาก็ไม่รับ ผมมองว่ามันมีค่า ณ ตอนนั้น หลังจากนั้นผมก็คิดว่าถึงเวลาที่จะหางานใหม่ พอเราได้ประสบการณ์บ้างจากงานตรงนี้ ผมก็ได้ไปสมัครงานทำเกมแห่งหนึ่งชื่อVirus studio
ทำพอร์ตส่งปกติ ทำพอร์ตพวกEffect ,3D รวมกันไปแล้วให้เขา บอกว่าอยากทำ Effect ตอนนั้นก็ไปสัมภาษณ์แล้ว แต่พอเขาดูผลงานเขาก็บอกว่าพอร์ตไม่ค่อยถึงเท่าไหร่เฉยๆ สำหรับเขา ผมก็เลยคุยกับเขาว่า อยากให้ทำอะไรที่รู้สึกว่ามีความเกี่ยวข้องกับงานที่เขาต้องหาคนอยู่ เขาก็บอกเลยว่าทำระเบิดมาให้ดูได้ไหม เขาบอกขอแค่นั้น ผมก็เลยตอบไปว่าได้ เลยผมตอนนั้นก็คิดว่า มันไม่มีอะไรจะเสียก็เลยกลับไปแล้วทำมา ปรากฎว่าเขาเห็นแล้วเขาก็โอเคเลยได้งานมา”
หลังจากที่ทำเกี่ยวเกม 2 ปี แล้ว กอล์ฟในวัย 24 ปี ณ ตอนนั้น เขาก็คิดว่าชีวิตได้ใกล้เคียงขึ้นกับสิ่งที่ต้องการจะทำมากขึ้นเรื่อยๆ ก็มีบริษัทหนึ่งเปิดขึ้นมาซึ่งเป็นบริษัทที่ทำหนังเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งหน้าที่ที่เขาได้รับคือการสร้างตัวละคร สร้างคาเเร็กเตอร์ให้เคลื่อนไหว ให้มีมิติ
“ผมได้เข้าไปทำภาค 3 ตอนนั้นภาค 1 ภาค 2 เขาไปจ้างบริษัทอื่นทำ พอภาค 3 ก็ได้กลับมาทำตอนนั้นผมได้เข้าไปทำในตำแหน่ง ทำ 2 อย่าง ทำพวกEffactก็คือพวก ฝุ่น ควัน ระเบิด ธนู แล้วก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ผมจำเป็นต้องทำด้วยก็คือ คราวตรูเมชัน การสร้างกลุ่มตัวละครเหมือนกับการสู้รบกัน
โดยปกติแล้วสมัยก่อน ก่อนจะมีเทคนิค เขาก็จะมีการถ่ายคนเป็นกลุ่ม แล้วก็เอามา copy ในโปรแกรมซ้อนกันไปแต่เดี๋ยวนี้มันพัฒนาไปแล้ว มันมีเทคนิคที่สามารถทำให้เราปลอมแปลงคนได้ สามารถคนให้ไปเจอคนฝ่ายตรงข้ามได้ ให้ฟัน ให้ฆ่า ก็เลยจำลองว่ามันคิดยังไง แล้วก็ลงในโปรแกรม คล้ายๆ กับในเกมเวลาที่เราลง AI แต่ว่าถูกใช้อารมณ์ ความรู้สึก ละเอียดกว่าในเกม มันจะทำให้ออกมาเหมือนจริงกว่า”
ทั้งๆ ที่ความฝันใกล้ความเป็นจริงขึ้นทุกที แต่เขาก็ได้ลาออกจากการทำ CG ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งของไทยที่ทำเกี่ยวกับภาพยนตร์หันไปทำโฆษณา ซึ่งไม่ใช่ทางความฝันที่เขาอยากจะเอื้อม แต่เป็นเพราะหากเขาได้เรียนรู้ทุกๆ ด้าน และมันสามารถเพิ่มทักษะให้เขาแกร่งขึ้นกว่าเดิม
อย่างภาพยนตร์อาจจะใช้เวลา 1- 2 ปี ได้ แต่งานโฆษณาต้องใช้เวลาเพียงแค่ 1 อาทิตย์เท่านั้น มันก็ทำให้ชีวิตกอล์ฟท้าทายมากยิ่งขึ้น เพราะงานโฆษณาจะต้องทำให้เสร็จภายในเวลาไม่กี่วัน เขาจึงตัดสินใจลาออกอีกครั้ง เพื่อรวบรวมไปยังฮอลลีวูดบริษัทที่เขาอยากทำตั้งแต่แรกเริ่ม
“หลังจากที่ผมทำงานโฆษณามามันก็มีจุดหนึ่งที่คิดว่าแบบเมื่อไหร่เราจะได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ เหมือนเราทำเพื่อบางช่วงของชีวิต เราพยายามแล้วแต่ว่ามันยังไม่ได้ถึงเป้าหมายเรา เราก็ต้องหาอะไรที่หล่อเลี้ยงชีวิตไปก่อน พอมาถึงจุดหนึ่งเรารู้สึกว่าแบบมันพออยู่ได้แล้ว พอมีเงินเก็บบ้างเราก็เลยตัดสินใจส่งผลงานที่เรามีนี้แหละครับ ที่เราทำในไท เรารวบรวมส่งไปยังฮอลลีวูด
ในรอบนี้ไม่มีที่ไหนตอบกลับเลย คือได้รับแต่พวกอีเมลที่ตอบมาอัตโนมัติ เลยรู้ว่างานของเราไม่ถึง เราก็กลับมาพัฒนางานของตัวเอง แล้วก็มีผลงานอย่างหนึ่งที่เราอยากทำ และเราทำได้เหมือนกัน ก็คือการทำ คราวตรูเมชัน เราอยากให้มันแบบเหมือนในเรื่องลอร์ดออฟเดอะริงเลย ก็คือเราต้องทำคนเดียว ณ ตอนนั้น เราก็หยุดงาน หยุดอะไรหมดเลย แล้วใช้เวลาประมาณ 4 เดือนเพื่อทำผลงานช็อตลอร์ดออฟเดอะริง นะครับ
พอทำเสร็จผมก็ส่งอีเมลผลงานตัวนี้ไปหา คุณสตีเว่น เขาคือคนที่คิดค้นซอฟท์แวร์ในการทำกองทัพในเรื่อง ลอร์ดออฟเดอะริง
แต่ว่าตอนนั้นเขาเข้ามาเปิดบริษัทในไทย ซึ่งผมเคยเจอเขาตอนที่ได้ทำภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร ตอนนั้นเขาได้เข้ามาช่วยดูด้วย ผมส่งไปปรึกษาเขาว่าผมส่งไปแล้วแบบไม่ทราบว่าคุณมี บริษัทที่ทำด้านนี้อีกมั้ย เพราะผมไม่ได้รับการตอบรับเลย เขาก็เลยดูผลงาน และเรียกเข้าไปคุยกันก่อน เขาบอกให้เข้าไปทำกับเขาก่อน”
จากการชักชวนทำให้เขาได้ปลี่ยนเส้นทางมาทำบริษัทซอฟต์แวร์ เพื่อการสร้างหนังในฮอลลีวู ดซึ่งใกล้ความจริงที่เขาตั้องการขึ้นเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่ทำคือการผลิตเพื่อให้หนังฮอลลีวูดนำไปใช้
“แต่มันก็มีจุดหนึ่ง เราทำได้ประมาณ 2 ปีกว่า เราได้ข้อความจาก HR ของบริษัท Industrail Light & Magic เขาก็มาถามว่าคุณรู้จักใครที่ทำด้านนี้ไหม เรากำลังหาคนอยู่
แล้วเขาถามว่าผมคิดยังไง ผมก็อยากลองสมัครนะ แต่ตอนนั้นผมพูดไปก็ไม่ได้คิดอะไร เขาก็บอกว่าส่งผลงานมาได้ไหม ก็ส่งที่เราทำไป ตั้งแต่ที่เราทำแรกๆ ส่งไปจากนั้นเขาก็ตอบกลับมาเลย งั้นเราจะให้คุณสัมภาษณ์นะ ตอนนั้นก็ตกใจครับ ไม่รู้ว่าเขาพูดจริง หรือพูดเล่น เพราะเราไม่เคยได้รับการสัมภาษณ์ไม่รู้ขั้นตอนมัน
กลายเป็นว่าอีก 2-3 วันถัดมาเราต้องสัมภาษณ์ ภาษาอังกฤษตอนนั้นก็ไม่ค่อยได้ เราก็ใช้วิธีจดเอาแล้วก็ท่อง พอถึงเวลาสัมภาษณ์ก็สัมภาษณ์ไป แล้วสื่อสารกับเขาไม่รู้เรื่อง แต่โชคดีอีกอย่างหนึ่งก็คือมีพี่ที่ทำอยู่แล้วเป็นคนไทยอยู่ ตอนนั้นเขามาช่วยแปลให้ แล้วเขาก็เข้าใจ เหมือนกับว่ายอมรับเราได้ เขาก็ถามมาเรื่อย ถามข้อมูลมา จนกระทั่งได้อีเมลอีกครั้งถึงรู้ว่าอ้าวได้แล้ว ก็ตกใจว่าอ้าวนี่มันได้แล้วเหรอ”
ชอบในสิ่งใด..ไปให้สุด
หลังจากที่ล้มเหลวกับการส่งผลงานแล้วรู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เขาก็เข้าใจความจริงประมาณนึงว่าต้องอยู่กับความจริง ต้องเผื่อใจไว้ เผื่อความฝันเราไม่เป็นจริง
“มันก็จะแบบนึกถึงแบบเฮ้ย! มันเป็นจริงแล้ว คือเราไม่ได้เตรียมตัวว่าวันหนึ่งมันมาถึงแล้ว จากที่เราคิดว่าแบบ คือมันมาไกลที่สุดคือการทำบริษัทซอฟ์ตแวร์เรื่องแรกก็เรื่องเดอะเกรทวอลครับ กำแพงเมืองจีน ก็ได้ทำฝูงสัตว์ประหลาด
ตอนนั้นคิดว่ามาทำสักเรื่องแล้วกลับก็ไม่เสียดายล่ะ ปรากฎว่าเขาโอเค แล้วทางหัวหน้าเขาก็ให้โอกาสให้ทำเรื่องต่อไป คือReady Player Oneเป็นของคนที่เราดูหนังเขามาตั้งแต่เด็ก ก็ทำกลุ่มตัวละครเหมือนกัน ต่อมาก็ทำเรื่อง Transformers ผมทำช็อตเปิดที่มันเป็นซีเควนซ์ที่สู้รบกัน ส่วน Avenger The war ผมทำช่วงตอนที่เป็นสู้รบในวาคันด้า และล่าสุดคือ Aquaman”
แม้ว่าการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ แต่เขายังคงเชื่อเรื่องของการดูแลคนรอบข้าง เป้าหมาย ความฝัน ต้องดูแลควบคู่กันไป อย่างชัดเจน
“ณ ตอนนี้ผมคิดว่าเรื่องของการเรียนเพิ่มเติม หรือศึกษาด้วยตัวเอง การฝึกฝนคือสิ่งสำคัญมาก เพราะว่างานด้านนี้เปลี่ยนแปลงตลอดทุกปี ก็อยากบอกน้องๆ ว่าหมั่นฝึกฝนตัวเอง และพยายามพัฒนาเปิดโลกให้กว้าง เพราะมันเป็นยุคของการเรียนรู้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม อีกอย่างหนึ่งอยากจะฝากเรื่องการตั้งเป้าหมาย มีหลายๆ คนส่งข้อความมาว่าอยากทำให้ได้ในระดับนี้ อยากจะบอกว่าเวลาเรามีเป้าหมายที่ใหญ่นะครับ แน่นอนเลยมันจะเป็นระยะทางที่ไกลกว่าคนปกติ”
แม้ที่ผ่านมาชีวิตการทำงานยังไม่โชติช่วงเท่าไหร่นัก แต่กอล์ฟก็ไม่ละทิ้งความชอบที่เคยมี จนวันหนึ่งความฝันที่เขาฝันตั้งแต่วัยเด็กเป็นจริงขึ้นมา เขายังทิ้งท้ายให้ฟังอีกว่า อย่าละความมุ่งมั่น และความเชื่อในตัวเอง ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ หากเราตั้งใจ และศรัทธาในเป้าหมายของเรา
“ส่วนใหญ่เราต้องเจออะไรที่ทำให้ไขว้เขวเยอะ อยากให้เรามีความเชื่อหรือว่ามีความมั่นใจ หรือศรัทธาในเป้าหมาย หรือความฝันของเรา ว่ามันเป็นจริงแน่ล่ะ แต่ไม่รู้ว่าวันไหนแค่นั้นเอง อย่างเมื่อก่อนเราคิดว่าเราอาจจะได้ทำหนังฮอลลีวูด อายุสัก 50 ปี ก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยทุกปีจะต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ครับ
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ได้รับข้อความมาไม่สามารถตอบได้หมดทุกคน มันค่อนข้างเยอะ เราเป็นกำลังใจให้อยากให้นอกจากความพยายาม หรือว่าความมุ่งมั่น เราอยากให้เพิ่มในเรื่องของการใส่ใจของคนรอบข้างเรา เพราะว่ามีบางช่วงในสมัยวัยรุ่นที่พี่ก็มุ่งมั่น มีแต่ความฝันอยากจะทำให้ได้
เราอาจจะหลงลืมคนรอบข้างไป แต่ถ้าวันหนึ่งน้องๆ โต คิดว่าน้องๆ จะเข้าใจมากขึ้นว่า ในวันที่เราประสบความสำเร็จมากขึ้น พ่อแม่เราก็แก่ขึ้นเรื่อยๆ มีอายุเพิ่มขึ้น ก็อยากฝากตรงนี้เพิ่มเหมือนกันนะครับว่า วัยรุ่นหรือน้องๆ ทุกคน อย่าลืมจุดนี้ด้วยเหมือนกันครับ”
สัมภาษณ์ : รายการพระอาทิตย์ Live
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ภาพ : FB วงศกร วอนสะกง